โครงงานนี้จึงได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับระบุชนิดเครื่องมือทันตกรรมหัตถการเพื่อตรวจนับจำนวนด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึก โดยเป็นการตรวจนับความครบถ้วนของอุปกรณ์ที่นำไปใช้ มีใช้วิธีการตรวจจับวัตถุ(Object Detection) ซึ่งการตรวจจับวัตถุช่วยให้สามารถตรวจจับอุปกรณ์ทันตกรรหัตถการทั้งหมดหลังจากการใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ อีกทั้งสามารถตรวจนับเครื่องมือต่างๆได้พร้อมกันหลายๆภาพเพื่อช่วยลดเวลาและความล่าช้าในกระบวนการตรวจสอบและนับจำนวนเครื่องมือทั้งหมด รวมถึงข้อมูลจำนวนและชนิดของอุปกรณ์ สามารถส่งออกไปยังฐานข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อได้อีกด้วย
เนื่องจากในปัจจุบันงานทางด้านทันตกรรมมีความซับซ้อนและหลากหลาย อีกทั้งมีการใช้เครื่องมือทางทันตกรรมต่างๆจำนวนมาก โดยหลังจากที่ถูกนำเครื่องมือมาใช้ในการรักษาตามสถานที่ โรงพยาบาลหรือคลินิกทันตกรรม ถ้าไม่มีการจัดการและตรวจสอบกับอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา เช่น การสูญหายของอุปกรณ์ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ใหม่โดยไม่จำเป็น ดังนั้นการตรวจสอบและนับเครื่องมือเป็นกระบวนที่สำคัญอย่างมากในการช่วยลดการสูญเสียของอุปกรณ์และปัญหาอื่นๆในการจัดการกับเครื่องมือทันตกรรม การตรวจสอบและนับจำนวนเครื่องมือหลังการใช้รักษาเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างมากโดยมีการใช้เวลาในการตรวจสอบ รวบรวม จัดการ และนับจำนวนของเครื่องมือทั้งหมดโดยมีการใช้บุคลากรของทางโรงพยาบาลหรือคลินิกทันตกรรมและใช้วิธีการนับด้วยมือ ทำให้เกิดล่าช้า อีกทั้งอาจจะเกิดการนับจำนวนเครื่องมือที่ไม่ถูกต้องครบถ้วน มีการบันทึกข้อมูลซับซ้อน และใช้ทรัพยากรคนในการทำงานที่เยอะเกินความจำเป็นอีกด้วยซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดการวางแผนในกระบวนการใช้เครื่องมือในครั้งต่อไป โดยกระบวนการตรวจสอบและนับจำนวนเครื่องมือนี้นอกจากจะช่วยในเรื่องของการระบุชนิดและนับเครื่องมือแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องมือ วางแผนในการจัดซื้ออุปกรณ์ รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเครื่องมือใหม่อีกด้วย จากปัญหาดังกล่าว โครงงานนี้จึงได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับระบุชนิดเครื่องมือทันตกรรมหัตถการเพื่อตรวจนับจำนวนด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึก โดยเป็นการตรวจนับความครบถ้วนของอุปกรณ์ที่นำไปใช้ มีใช้วิธีการตรวจจับวัตถุ(Object Detection) ซึ่งการตรวจจับวัตถุช่วยให้สามารถตรวจจับอุปกรณ์ทันตกรรหัตถการทั้งหมดหลังจากการใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ อีกทั้งสามารถตรวจนับเครื่องมือต่างๆได้พร้อมกันหลายๆภาพเพื่อช่วยลดเวลาและความล่าช้าในกระบวนการตรวจสอบและนับจำนวนเครื่องมือทั้งหมด รวมถึงข้อมูลจำนวนและชนิดของอุปกรณ์ สามารถส่งออกไปยังฐานข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อได้อีกด้วย

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
งานวิจัยนี้นำเสนอวิธีการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อสร้างคำบรรยายอัตโนมัติจากการแบ่งส่วนความเสียหายของชิ้นส่วนรถยนต์ โดยการวิเคราะห์จากข้อมูลภาพของรถยนต์โดยใช้โครงสร้างแบบโครงคร่าวแบบรวม (Unified Framework) เพื่อช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งและอธิบายความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยการพัฒนาประยุกต์จากพื้นฐานงานวิจัยที่มีชื่อว่า ”GRiT: A Generative Region-to-text Transformer for Object Understanding” ที่ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาและปรับแต่งให้เหมาะสมกับการวิเคราะห์ภาพที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์โดยเฉพาะ การปรับปรุงนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้แบบจำลองสามารถสร้างคำบรรยายสำหรับบริเวณต่างๆ ของรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่บริเวณที่ได้รับความเสียหายไปจนถึงการระบุส่วนประกอบต่างๆ บนรถยนต์ ทางผู้วิจัยได้เน้นการพัฒนาเทคนิคการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อสร้างคำบรรยายอัตโนมัติและการแบ่งส่วนความเสียหายในการวิเคราะห์ความเสียหายของรถยนต์ เพื่อช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งและอธิบายความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยานยนต์ได้อย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มความรวดเร็ว ลดภาระของผู้เชี่ยวชาญในการประเมินความเสียหาย โดยวิธีการเเบบดั้งเดิมอาศัยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน เพื่อลดปัญหานี้ ทางเราเสนอให้ใช้ประโยชน์จากการสร้างข้อมูลเพื่อฝึกฝนการสร้างคำบรรยายาย เเละ แบ่งส่วนความเสียหายอย่างอัตโนมัติ โดยใช้ โครงสร้างแบบโครงคร่าวแบบรวม ซึ่งการพัฒนานี้เป็นการขยายความสามารถของแบบจำลองให้สามารถประยุกต์ใช้ได้กว้างขวางมากขึ้นในภาคส่วนของยานยนต์ ทางผู้วิจัยได้สร้างชุดข้อมูลใหม่จาก CarDD ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการตรวจจับความเสียหายของรถยนต์ ในชุดข้อมูลนี้มีการติดป้ายกำกับความเสียหายบนรถยนต์ และผู้วิจัยได้นำข้อมูลชุดดังกล่าวมาเข้าสู่แบบจำลองเพื่อแยกส่วนของรถยนต์เป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อจัดทำการติดป้ายกำกับคำอธิบายที่แม่นยำสำหรับแต่ละชิ้นส่วนและหมวดหมู่ความเสียหาย ผลลัพธ์เบื้องต้นจากเเบบจำลอง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างคำบรรยายอัตโนมัติและการแบ่งส่วนความเสียหายในการวิเคราะห์ความเสียหายของรถยนต์ได้อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ด้วยผลลัพธ์นี้ เเบบจำลองนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะถูกพัฒนาต่อยอดในอนาคต การพัฒนาต่อยอดนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการแบ่งส่วนความเสียหายและสร้างคำบรรยายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงความสามารถในการตอบสนองต่อความหลากหลายของความเสียหายที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวและส่วนต่างๆ ของรถยนต์ ซึ่งจะช่วยให้ระบบสามารถประยุกต์ใช้ได้กับยานยนต์หลากหลายรูปแบบและสภาพความเสียหายที่แตกต่างกันมากขึ้นในอนาคต

คณะวิทยาศาสตร์
เนื่องจากสายพันธุ์ Enterococcus lactis มีความใกล้ชิดกับ E. faecium และ ด้านคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์และมีผลทางโปรไบโอติก ในการศึกษานี้ สายพันธุ์ RRS4 ถูกแยกจากหัวไช้เท้าดอง (Raphanus sativus Linn.) และทำการระบุชนิดโดยอาศัยลักษณะทางฟีโนไทป์และจีโนไทป์ สายพันธุ์ RRS4 แสดงความสามารถในการอยู่รอดในสภาวะแวดล้อมที่มี NaCl 2-8% ค่า pH ระหว่าง 4 ถึง 9 และอุณหภูมิระหว่าง 4°C ถึง 45°C การวิเคราะห์จีโนมแบบครอบคลุมยืนยันว่า RRS4 เป็น E. lactis นอกจากนี้ E. lactis RRS4 ยังแสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ E. faecalis JCM 5803 ที่ดื้อต่อวานโคมัยซิน การประเมินความปลอดภัยโดยใช้วิธี in silico รวมถึงการวิเคราะห์ด้วย KEGG annotation พบว่า E. lactis RRS4 ไม่มียีนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของเชื้อหรือยีนที่ไม่พึงประสงค์ การวิเคราะห์ด้วย VirulenceFinder พบว่ายีนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของเชื้อมีความสอดคล้องกับยีนใน E. lactis สามสายพันธุ์ และ E. faecium สี่สายพันธุ์ แม้ว่าจะพบว่ายีนต้านทานยาปฏิชีวนะยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับลักษณะการก่อโรคที่สำคัญ นอกจากนี้ การประเมินความปลอดภัยยังชี้ให้เห็นว่า E. lactis RRS4 มีความปลอดภัยโดยทั่วไป แม้ว่าจะมียีนที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาปฏิชีวนะก็ตาม สุดท้ายนี้ เราขอเสนอแนวทางในการประเมินความปลอดภัยของสายพันธุ์จุลินทรีย์โดยใช้การวิเคราะห์จีโนมทั้งหมด ซึ่งผลการศึกษานี้เป็นก้าวสำคัญในการวิจัยโปรไบโอติก

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในปัจจุบันการประชาสัมพันธ์และการเรียนรู้ในรูปแบบดั้งเดิมมักขาดความน่าสนใจ และไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งให้แก่ผู้ใช้งานได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมายังสถานที่จริงได้ โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงและการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหอเทิดพระเกียรติและหอประวัติของสถาบันพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง การใช้เทคโนโลยีเมตาเวิร์สในการจำลองสถานที่สำคัญช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สำรวจสถานที่และรับชมข้อมูลที่สำคัญในรูปแบบเสมือนจริงเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักศึกษา บุคลากร ศิษย์เก่า และบุคคลทั่วไป ในการพัฒนาระบบเมตาเวิร์ส ได้พัฒนาผ่านระบบ Unity ซึ่งเป็นเกมเอนจินที่มีความสามารถในการพัฒนาระบบเมตาเวิร์ส เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบได้ Unity ยังรองรับ การจัดการฟิสิกส์ แสง และเสียง เพื่อเพิ่มความสมจริง อีกทั้งให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงโครงงานได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับเว็บเบราวเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยี WebGL ซึ่งช่วยให้โครงานที่สร้างขึ้นใน Unity สามารถแสดงผลได้โดยตรงผ่านเว็บเบราวเซอร์ ผู้ใช้งานสามารถเข้าชมได้จากทุกที่ และโต้ตอบกับสถานที่ในเมตาเวิร์สได้ทันที โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ผู้พัฒนาจึงพัฒนาระบบระบบเมตาเวิร์สเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงและดึงดูดความสนใจ ช่วยเพิ่มโอกาสในการประชาสัมพันธ์และสร้างความผูกพันกับสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ