งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อเสนอแนะแนวทางการออกแบบอัตลักษณ์สำหรับสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยแบ่งขั้นตอนการศึกษาออกเป็น 4 ขั้นตอน 1) การสำรวจและวิเคราะห์อัตลักษณ์บริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน 2) การเปรียบเทียบการรับรู้สภาพแวดล้อมของผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามชุดที่ 1 จากผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) รถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน (MRT BL) รถไฟฟ้าแอร์พอตเรียลลิ้งค์ (APL) หรือ AERA1 และ รถไฟฟ้ามหานครสายสีม่วง(MRT PPL) จำนวน 800 คน 3) การสำรวจ และวิเคราะห์การรับรู้อัตลักษณ์บริเวณสถานีของผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน (MRT BL) โดยใช้แบบสอบถามชุดที่ 2 จากผู้ใช้บริการ จำนวน 800 คน สถานีวัดมังกร สามยอด สนามไชย และอิสรภาพ 4) การศึกษาและสำรวจสภาพแวดล้อมรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย จากนั้นนำผลการศึกษาที่ได้มาสังเคราะห์แนวทางการออกแบบอัตลักษณ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 ท่าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เพื่อการสรุปผลกรอบแนวคิดการออกแบบอัตลักษณ์สำหรับสถานีรถไฟความเร็วสูง ผลการวิจัย พบว่า อัตลักษณ์บริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน สถานีเป็นองค์ประกอบหนึ่งจากสถาปัตยกรรมด้านประวัติศาสตร์ที่มีความสอดคล้องกับสถานที่ สังคม วิถีชีวิต รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญใกล้สถานี สภาพแวดล้อมภายนอกสถานีมีผลต่อการรับรู้ของผู้ใช้บริการมากที่สุด ได้แก่ อาคารภายนอก จุดเชื่อมต่อของระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง และประตูทางเข้าออกสถานี โดยแนวทางการออกแบบอัตลักษณ์สำหรับสถานีรถไฟความเร็วสูง สามารถสรุปอัตลักษณ์ในการออกแบบได้ 4 ประเภท ดังนี้ 1) อัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม 2) อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม 3) อัตลักษณ์จากการ์ตูน และ 4) อัตลักษณ์ทางด้านศิลปะและงานออกแบบ
อัตลักษณ์บริเวณสถานีรถไฟเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความแตกต่างในพื้นที่สาธารณะ และสะท้อนความเป็นตัวตนเฉพาะของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมท้องถิ่น การนำเสนออัตลักษณ์ที่ชัดเจนผ่านการใช้ภาษาภาพส่งผลต่อการจดจำและการรับรู้ของผู้ใช้บริการ อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความรู้สึกนึกถึงถิ่นที่ (Sense of Place) ซึ่งเป็นการหยั่งรากลึกของการดำรงอยู่ในการศึกษาย่านชุมชน โดยการเชื่อมโยงระหว่างกายภาพและนามธรรมเข้าด้วยกัน (Marisa and Nopadon, 2022) การพัฒนาการออกแบบอัตลักษณ์บริเวณสถานีรถไฟมีต้นแบบจากต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มแนวคิดและพัฒนารถไฟความเร็วสูงจนเป็นต้นแบบให้กับระบบรถไฟความเร็วสูงทั่วโลก รถไฟความเร็วสูงสายแรก คือ รถไฟชินกันเซ็นสาย Tokaido Shinkansen ที่เปิดให้บริการในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2507 เชื่อมต่อระหว่างกรุงโตเกียวและนครโอซาก้า มีระยะทาง 553 กิโลเมตร ต่อมาในประเทศไต้หวันซึ่งมีรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ขบวนรถไฟด้วยเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น (ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานและระบบยังเป็นของเยอรมนี) ซึ่งมีความน่าสนใจด้วยเทคโนโลยีทั้งเอเชียและยุโรปโดยมีความเร็วติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก (กรมการขนส่งทางราง. 2561) รวมไปถึงรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเมือง โดยสถานีรถไฟได้ถูกแบ่งออกตามพื้นที่การใช้งานของสถานี ได้แก่ ทางเข้าออก จุดประชาสัมพันธ์จำหน่ายตั๋ว ผนัง ทางเดิน เสา ป้ายบอกทาง แผนที่ และชานชลา จากพื้นที่ดังกล่าวนอกจากสัญลักษณ์บอกทาง ยังพบว่า บริเวณสถานีมีอัตลักษณ์รูปแบบตามถิ่นที่อยู่ของชุมชนบริเวณนั้น ช่วยสร้างความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ต่อผู้ใช้บริการ โดยจากข้อมูลดังกล่าวจะเป็นแนวทางการศึกษาเปรียบเทียบด้านองค์ประกอบของสถานี รูปแบบอัตลักษณ์ การนำอัตลักษณ์ไปใช้บริเวณสถานี ด้วยอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยกำลังจะมีรถไฟความเร็วสูงให้ใช้บริการ ในปัจจุบัน อยู่ในกระบวนการก่อสร้าง การศึกษาแนวทางการออกแบบอัตลักษณ์บริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูง จึงเป็นสิ่งที่สามารถสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าที่จะบอกถึงความเป็นตัวตน ถิ่นฐานเฉพาะ รวมถึงสถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้เคียงสถานี เป็นการสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรม รวมไปถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต สถานีรถไฟในประเทศไทยมีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับการใช้สอยและสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น รวมถึงความงามในลักษณะพื้นถิ่น (ปริญญา ชูแก้ว, 2554) ตามหลักการกระบวนการสัมพันธ์การเรียนรู้พื้นที่ สภาพแวดล้อมต้องมีลักษณะที่เอื้อต่อการสร้างจินตภาพได้ง่าย เช่น การใช้ภูมิสัญลักษณ์ที่เป็นสัญญาณชี้แนะที่ช่วยในการรับรู้และเข้าใจ (วิมลสิทธิ หรยางกูร, 2556) การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสำรวจอัตลักษณ์บริเวณสถานีรถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการเปรียบเทียบรูปแบบอัตลักษณ์ พื้นที่ของสถานี วิธีการสร้างสรรค์ และการรับรู้จากผู้ใช้บริการ เพื่อนำมาพัฒนาแนวทางการออกแบบอัตลักษณ์สำหรับสถานีรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หนองคาย ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน โดยผลการศึกษาที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการออกแบบอัตลักษณ์ของสถานีในด้านต่างๆ อาทิ การสร้างสัญลักษณ์ประจำสถานี การออกแบบตัวนำโชค (Mascot) การพัฒนาของที่ระลึก ตลอดจนสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับระบบรถไฟความเร็วสูง นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับชุมชนและสังคมไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศในยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างยั่งยืน

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในปัจจุบันการประชาสัมพันธ์และการเรียนรู้ในรูปแบบดั้งเดิมมักขาดความน่าสนใจ และไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งให้แก่ผู้ใช้งานได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมายังสถานที่จริงได้ โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงและการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหอเทิดพระเกียรติและหอประวัติของสถาบันพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง การใช้เทคโนโลยีเมตาเวิร์สในการจำลองสถานที่สำคัญช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สำรวจสถานที่และรับชมข้อมูลที่สำคัญในรูปแบบเสมือนจริงเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักศึกษา บุคลากร ศิษย์เก่า และบุคคลทั่วไป ในการพัฒนาระบบเมตาเวิร์ส ได้พัฒนาผ่านระบบ Unity ซึ่งเป็นเกมเอนจินที่มีความสามารถในการพัฒนาระบบเมตาเวิร์ส เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบได้ Unity ยังรองรับ การจัดการฟิสิกส์ แสง และเสียง เพื่อเพิ่มความสมจริง อีกทั้งให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงโครงงานได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับเว็บเบราวเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยี WebGL ซึ่งช่วยให้โครงานที่สร้างขึ้นใน Unity สามารถแสดงผลได้โดยตรงผ่านเว็บเบราวเซอร์ ผู้ใช้งานสามารถเข้าชมได้จากทุกที่ และโต้ตอบกับสถานที่ในเมตาเวิร์สได้ทันที โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ผู้พัฒนาจึงพัฒนาระบบระบบเมตาเวิร์สเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงและดึงดูดความสนใจ ช่วยเพิ่มโอกาสในการประชาสัมพันธ์และสร้างความผูกพันกับสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ

คณะเทคโนโลยีการเกษตร
สภาพแวดล้อมที่แปรปรวนในปัจจุบันทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนพืชอาหารสัตว์ในฤดูแล้งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น การศึกษาผลของความหนาบรรจุภัณฑ์ ต่อคุณภาพข้าวโพดอาหารสัตว์ในระหว่างการเก็บรักษาระยะยาวเพื่อคงคุณภาพของข้าวโพดหมักในฤดูแล้งเนื่องจากเกิดการขาดแคลน ผลการศึกษาพบว่า บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดความหนา 80, 120, 150 และ 200 ไมครอนที่อายุ 0-21 วัน มีคุณสมบัติทางกายภาพได้แก่ กลิ่น, เนื้อพืชหมัก, สี และค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยกลิ่นของพืชหมักจะมีความคล้ายกลิ่นผลไม้ดอง หรือน้ำส้มสายชู เนื้อพืชหมักจะมีความแน่น ส่วนใบและลำต้นคงสภาพเดิม สีของพืชหมักมีสีเหลืองอมเขียว และมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ระหว่าง 3.7-4.7 การวิเคราะห์ปริมาณกรดแลคติก พบว่า บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดความหนา 200 ไมครอนที่อายุเก็บรักษา 21 วัน มีปริมาณกรดแลคติกมากที่สุด (5.64%) และคุณค่าทางโภชนะของข้าวโพดหมักในบรรจุภัณฑ์ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ

คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
ปัจจุบันเยาวชนขาดความสนใจและไม่เห็นความสำคัญของการเรียนวรรณคดี เพราะคิดว่าเป็นเรื่องยาก, ซับซ้อน และขาดสื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัยและน่าสนใจ ดังนั้นผู้วิจัยจึงเลือกวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนขุนช้างถวายฎีกาที่ใช้สอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มาพัฒนาเนื่องจากเป็นวรรณคดีที่สะท้อนวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่จริง โดยจะพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ให้ทันสมัย เหมาะกับเยาวชนเพื่อแก้ปัญหาจากการเรียนวรรณคดีดังที่กล่าวมา นอกจากนี้สื่อประชาสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นสามารถใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสุพรรณบุรี โดยกลุ่มเป้าหมายของงานวิจัยคือเยาวชนอายุ 15-25 ปี มีจุดประสงค์ "เพื่อสร้างสื่อประชาสัมพันธ์สำหรับเยาวชนเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนขุนช้างถวายฎีกา ที่สามารถ 1. สร้างความสนใจในการเรียนรู้วรรณคดี และ 2. สร้างแรงจูงใจในการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรีให้แก่เยาวชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05” งานวิจัยโครงการนี้จะแบ่งออกเป็น 3 โครงการย่อยที่ผสมทั้งงานวิจัยเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ และการปฏิบัติเข้าด้วยกันได้แก่ 1. การสร้างองค์ความรู้กรอบแนวคิดในการวิจัยสำหรับการออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน (เชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 10 ท่าน และเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม 600 ชุด) 2. การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ที่ผสมสื่อมัลติมีเดียสำหรับเยาวชน ที่เชื่อมโยงกับสื่อโซเชียลมีเดียเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนขุนช้างถวายฎีกา (การวิจัยเชิงปฏิบัติเพื่อสร้างสรรค์ผลงานประกอบด้วย e-book 1 ฉบับ, Youtube channel จำนวน 5 ตอน, Page Facebook และ Instagram) 3. การเผยแพร่และประเมินผลสื่อประชาสัมพันธ์เรื่องขุนช้างขุนแผน (เชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม 600 ชุดกับเยาวชนใน 6 ภาค)