ไผ่เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าผ่านการแปรรูปเป็นถ่านชีวมวล ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงและมีประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของถ่านไม้ไผ่ โดยเปรียบเทียบการผลิตถ่านจากเตาเผาไม้ไผ่ต้นแบบกับเตาเผาอุตสาหกรรม วิเคราะห์ผลผลิตที่ได้และประสิทธิภาพเชิงความร้อนของแต่ละสภาวะการเผา พบว่าการทดสอบเตาเผาต้นแบบที่สภาวะที่ 3 อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส ระยะเวลา 8 ชั่วโมง ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเตาเผาอุตสาหกรรม โดยมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนร้อยละ 37.05 และ 41.29 ตามลำดับ ถ่านชีวมวลที่ได้มีคุณภาพสูง โดยมีปริมาณคาร์บอนอินทรีย์ร้อยละ 73.92 และ 75.24 โดยน้ำหนักตามลำดับ และมีอัตราส่วนโมลของไฮโดรเจนต่อคาร์บอนอินทรีย์ 0.51 และ 0.29 ตามลำดับ ซึ่งจัดอยู่ในมาตรฐานถ่านชีวมวลระดับสูงสุด (IBI Standard) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ พบว่าต้นทุนการผลิตยังค่อนข้างสูง จึงเหมาะสมกับผู้ที่มีชีวมวลไม้ไผ่เหลือใช้จากกิจกรรมอื่น
ไผ่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ทางภาครัฐเร่งส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต มารองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมไผ่ การแปรรูปที่สามารถเพิ่มมูลค่าของลำไม้ไผ่ได้มากกว่าการขายไผ่สด คือ การแปรรูปไม้ไผ่เป็นถ่านไม้ไผ่ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากขึ้น เช่น เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้มอาหารใน และการใช้ถ่านในด้านการเกษตร ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการเผาถ่านที่หลากหลาย ทั้งแบบใช้ในครัวเรือนและในอุตสาหกรรม เตาแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งเตาที่ใช้ในประเทศไทยทั่วไปสามารถทำงานได้ แต่คุณภาพของถ่านที่ได้ในแต่ละครั้งไม่แน่นอน ซึ่งเตาเผาในระดับอุตสาหกรรมของต่างประเทศสามารถควบคุมการทำงานได้ ทำให้ถ่านที่ได้มีคุณภาพค่อนข้างคงที่ สร้างมูลค่าทางการตลาดได้สูง การควบคุมกระบวนการการผลิตให้เหมาะสม มีผลต่อคุณภาพและร้อยละผลผลิตของถ่าน ดังนั้นการศึกษาตัวแปรในการออกแบบเตา และควบคุมกระบวนการการผลิตได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เตาในระดับครัวเรือนสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้นจึงมีความสำคัญ และสามารถขยายผลต่อไปยังด้านอุตสาหกรรมได้ในอนาคต การศึกษานี้จึงมุ่งเน้นการวิเคราะห์ตัวแปรที่มีผลต่อคุณภาพของถ่ายไม้ไผ่ในกระบวนการผลิต โดยเปรียบเทียบเตาเผาต้นแบบกับเตาเผาที่ใช้ในระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้ได้เตาเผาที่สามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปประยุกต์ใช้และถ่ายทอดสู่ภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นองค์ความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงวิชาการ และพัฒนาเป็นเครื่องมือที่ นำไปสู่การสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่ชุมชนต่อไป
คณะวิศวกรรมศาสตร์
การประดิษฐ์หุ่นยนต์การแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2567 เกม “วิถีข้าว วิถีไทย สู่วิถีสากล (HARVEST DAY)”
คณะวิทยาศาสตร์
เนื่องจากสายพันธุ์ Enterococcus lactis มีความใกล้ชิดกับ E. faecium และ ด้านคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์และมีผลทางโปรไบโอติก ในการศึกษานี้ สายพันธุ์ RRS4 ถูกแยกจากหัวไช้เท้าดอง (Raphanus sativus Linn.) และทำการระบุชนิดโดยอาศัยลักษณะทางฟีโนไทป์และจีโนไทป์ สายพันธุ์ RRS4 แสดงความสามารถในการอยู่รอดในสภาวะแวดล้อมที่มี NaCl 2-8% ค่า pH ระหว่าง 4 ถึง 9 และอุณหภูมิระหว่าง 4°C ถึง 45°C การวิเคราะห์จีโนมแบบครอบคลุมยืนยันว่า RRS4 เป็น E. lactis นอกจากนี้ E. lactis RRS4 ยังแสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ E. faecalis JCM 5803 ที่ดื้อต่อวานโคมัยซิน การประเมินความปลอดภัยโดยใช้วิธี in silico รวมถึงการวิเคราะห์ด้วย KEGG annotation พบว่า E. lactis RRS4 ไม่มียีนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของเชื้อหรือยีนที่ไม่พึงประสงค์ การวิเคราะห์ด้วย VirulenceFinder พบว่ายีนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของเชื้อมีความสอดคล้องกับยีนใน E. lactis สามสายพันธุ์ และ E. faecium สี่สายพันธุ์ แม้ว่าจะพบว่ายีนต้านทานยาปฏิชีวนะยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับลักษณะการก่อโรคที่สำคัญ นอกจากนี้ การประเมินความปลอดภัยยังชี้ให้เห็นว่า E. lactis RRS4 มีความปลอดภัยโดยทั่วไป แม้ว่าจะมียีนที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาปฏิชีวนะก็ตาม สุดท้ายนี้ เราขอเสนอแนวทางในการประเมินความปลอดภัยของสายพันธุ์จุลินทรีย์โดยใช้การวิเคราะห์จีโนมทั้งหมด ซึ่งผลการศึกษานี้เป็นก้าวสำคัญในการวิจัยโปรไบโอติก
คณะเทคโนโลยีการเกษตร
ข้าวเป็นพืชที่อ่อนแอต่อดินเค็ม วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้คือ เพื่อศึกษาผลของความเค็มในระยะออกดอกที่มีต่อลักษณะทางสรีรวิทยา และการให้ผลผลิตของข้าวพื้นเมือง วางแผนการทดลองแบบ 4*10 Factorial in RCBD จำนวน 4 ซ้ำ ปัจจัย A คือ ระดับความเค็ม 4 ระดับได้แก่ control , 6, 12 และ 16 dS/m ปัจจัย B คือพันธุ์ข้าวจำนวน 10 สายพันธุ์ เก็บข้อมูลลักษณะทางสรีรวิทยาแลผลผลิต ผลการศึกษาพบว่า ระดับความเค็มที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลง โดยผลผลิตจะลดลงมากที่สุดเมื่อข้าวได้รับเกลือที่ระดับ 16 dS/m นอกจากนี้พบว่า สายพันธุ์ข้าวมีการให้ผลผลิตที่แตกต่าง ในการศึกษาครั้งนี้พบว่า ข้าวพันธุ์หอมใหญ่มีอัตราการลดลงของผลผลิตต่ำที่สุดเมื่อปลูกในระดับความเค็ที่ 16 dS/m และไม่แตกต่างกับพันธุ์ทนเค็มมาตรฐาน