ปัจจุบันการบริโภคอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และภาวะเสื่อมของเซลล์ ขิง (Zingiber officinale) ปลีกล้วย (Musa paradisiaca L.) และกระเจี๊ยบ (Hibiscus sabdariffa L.) เป็นพืชสมุนไพรที่มีสารประกอบฟีนอลิกสูง ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตาม สารสำคัญจากพืชเหล่านี้มักมีข้อจำกัดด้านความคงตัวเมื่อสัมผัสกับแสง อุณหภูมิ และออกซิเจน ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของขิง ปลีกล้วย และกระเจี๊ยบ ในการกักเก็บด้วยลิโพโซม ซึ่งเป็นเทคนิคการห่อหุ้มสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มความคงตัวของสารออกฤทธิ์และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำส่งสารเข้าสู่ร่างกาย การศึกษานี้ดำเนินการโดยวิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากขิง ปลีกล้วย และกระเจี๊ยบ ด้วยวิธี DPPH, ABTS และ FRAP รวมถึงการวัดปริมาณสารฟีนอลิกรวม (Total Phenolic Content, TPC) จากนั้นเลือกอัตราส่วนที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุดมาทำการห่อหุ้มด้วยลิโพโซม โดยใช้ฟอสโฟลิปิดเป็นองค์ประกอบหลักของโครงสร้างลิโพโซม จากนั้นวิเคราะห์ประสิทธิภาพของลิโพโซมในการกักเก็บสารสำคัญผ่านการคำนวณค่า Encapsulation Efficiency (EE%) เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการห่อหุ้ม ผลการวิจัยคาดว่าจะช่วยระบุอัตราส่วนที่เหมาะสมของขิง ปลีกล้วย และกระเจี๊ยบที่สามารถเพิ่มฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุด และทำให้สารสำคัญมีความคงตัวมากขึ้นเมื่อผ่านกระบวนการห่อหุ้มด้วยลิโพโซม ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพจากสมุนไพรที่สามารถรักษาคุณสมบัติทางชีวภาพของสารสำคัญได้ในระยะยาว
การเสื่อมสภาพของเซลล์จากอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และการเสื่อมสภาพของเซลล์ในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้นการใช้สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติจึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเหล่านี้ ขิง ปลีกล้วย และกระเจี๊ยบ เป็นพืชที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารฟีนอลิกที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์ อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้อาจสูญเสียประสิทธิภาพเมื่อสัมผัสกับปัจจัยภายนอก เช่น แสง ความร้อน และออกซิเจน ดังนั้นการใช้เทคนิคการห่อหุ้มสารด้วยวิธีลิโพโซม จึงช่วยเพิ่มความเสถียรของสารสำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพในการนำส่งสารไปยังจุดเป้าหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญ

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
การรักษาผู้ป่วยมะเร็งในแผนกเคมีบำบัดของโรงพยาบาลมะเร็งชลบุรีมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและไม่สะดวก เนื่องจากกระบวนการส่งผลตรวจเลือดผ่านแอปพลิเคชันไลน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ทำให้การดำเนินงานขาดความคล่องตัว ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงพัฒนาโปรแกรมบริหารจัดการและติดตามผู้ป่วยมะเร็งในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน (web-based application) และแอปพลิเคชันไลน์ LINE LIFF (LINE Front-end Framework) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย ระบบเว็บแอปพลิเคชันออกแบบมาเพื่อใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์ในการติดตาม นัดหมาย และเก็บข้อมูลผู้ป่วย ส่วนแอปพลิเคชันไลน์ ออกแบบสำหรับผู้ป่วยในการส่งผลตรวจเลือด ดูตารางนัดหมาย บันทึกอาการหลังรับยาเคมีบำบัด บันทึกค่าน้ำหนักของผู้ป่วยทุกสัปดาห์ และแชทบอทสำหรับให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย ระบบนี้พัฒนาบนพื้นฐานของเทคโนโลยีไคลเอนต์-เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลและสนับสนุนการวางแผนการรักษาอย่างอัตโนมัติ ส่งผลให้กระบวนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งมีความรวดเร็ว ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
ชิ้นงานนี้เป็นแบบจำลองเชิงแนวคิด (conceptual model) ที่นำแนวคิดสถาปัตยกรรมคตินิยมเปลี่ยนแนว (Deconstructivism) มาใช้ในการออกแบบ ภายใต้ชื่อ "DeHome" ซึ่งมาจากคำว่า Deconstruction Home โดยทำการแยกองค์ประกอบพื้นฐานของบ้าน ได้แก่ หลังคา เสา ประตู หน้าต่าง และอิฐ ออกเป็นส่วนๆ แล้วนำมาจัดวางใหม่ในรูปแบบที่สะท้อนความแตกกระจาย ขัดแย้ง และเคลื่อนไหว การออกแบบนี้ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของความมั่นคงของโครงสร้าง ผ่านการขยายขนาดขององค์ประกอบสำคัญ เช่น ประตู หน้าต่าง และเสา เพื่อเน้นความบิดเบี้ยวและพลังของการเปลี่ยนแปลง งานชิ้นนี้ไม่เพียงแค่รื้อโครงสร้างทางกายภาพของบ้าน แต่ยังเป็นการตีความใหม่ของแนวคิด "บ้าน" ในบริบทของสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอีกด้วย

คณะเทคโนโลยีการเกษตร
จากปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นจากฝุ่นละอองที่มีขนาดเท่ากับหรือเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) นั้นนับว่าเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะเกิดปัญหามลพิษขึ้นเฉพาะภายในประเทศต่างๆ แล้วยังเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ส่งผลอันตรายต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการใช้อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชและระบบฉีดพ่นฝอย เพื่อการลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 โดยอาศัยหลักการมีคุณสมบัติเป็นประจุลบ และความสามารถในการละลายน้ำได้ จากการคัดเลือกอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพร 31 ชนิด และทดสอบพืชสมุนไพรประสิทธิภาพเบื้องต้นของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพร ในการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ในรูปแบบการพ่นละอองฝอย นาน 1 ชั่วโมง ภายใต้ตู้ทดสอบ พบว่าอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด ที่ความเข้มข้น 0.025% สามารถลดจำนวนอนุภาคของฝุ่น PM2.5 ที่มาจากท่อไอเสียรถยนต์ได้ดีที่สุด โดยพบค่า PM2.5 ที่วัดได้เป็นจำนวน 24.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 6 ชั่วโมง รองลงมาคือ มะกรูด ที่ความเข้มข้น 0.05% และ ยูคาลิปตัส ที่ความเข้มข้น 0.05% และ 0.025% พบค่า PM2.5 ที่วัดได้เป็นจำนวน 27.3 30.0 และ 95.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ขณะที่น้ำเปล่า (blank) และกลุ่มควบคุม (control) คือ น้ำเปล่าและ Carboxymethylcellulose (CMC) 0.2% ยังพบปริมาณฝุ่นถึง 126.4 และ 157.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด ที่ความเข้มข้น 0.025% นี้มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้ดีที่สุด โดยตั้งแต่ชั่วโมงที่ 2 เป็นต้นไปมีการลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุมประมาณ 3-6 เท่า จากการทดสอบระสิทธิภาพของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด ในรูปแบบการพ่นละอองฝอย ที่ความเข้มข้น 0.025% ณ สวนทวีวนารมย์ สวนบางแคภิรมย์ และสวนธนบุรีรมย์ มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการทดสอบในพื้นที่นั้นๆ ทำให้มีข้อมูลที่แตกต่างกันอยู่มาก โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องของแรงลมรวมทั้ง ความชื้น และอุณหภูมิ ปริมาณฝุ่น PM 2.5 มีแนวโน้มค่อยๆ ลดปริมาณลงเมื่อเริ่มทำการพ่นละอองของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืช โดยทั่วไปแล้วปริมาณฝุ่นจากทั้ง 3 สวนสาธารณะเมื่อมีการใช้อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด PM 2.5 จะลดลงมากในหนึ่งชั่วโมงแรก คือ ลดลงเฉลี่ยถึง 21.8 (7.7-27.3) ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่การใช้น้ำประปา มีการลดลงเฉลี่ยเพียง 6.4 (5.0-8.3) ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เท่านั้น ในสภาพที่ลมสงบ (ความเร็วลม 10-20 กม./ชม.) อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยสามารถลดฝุ่นจากระดับ 37.0-44.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ได้ถึงระดับ 13.5-16.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 ชั่วโมง แต่หากฝุ่นพิษมีปริมาณสูง(ประมาณ 98.0-101.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) จะลดลงถึงระดับ 23.0-26.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 ชั่วโมง ขณะที่การใช้น้ำประปาสามารถลดฝุ่นได้เพียงเล็กน้อย คือพบระดับฝุ่น 31.0-40.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามในสภาพที่ลมแรงและแปรปรวน (ความเร็วลม 15-35 กม/ชม.) ประสิทธิภาพการลดฝุ่น PM 2.5 ของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจะลดลงและมีค่าแปรปรวน แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าการใช้น้ำประปา