เตปาเช่เป็นเครื่องดื่มที่มีต้นกำเนิดจากเม็กซิโก ที่นิยมใช้เปลือกสับปะรดที่มีน้ำตาลธรรมชาติและเอนไซม์โบรมีเลนในการผลิต จึงทำให้เตปาเช่มีกลิ่นหอมและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โครงงานนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตเครื่องดื่มเตปาเช่เพื่อสุขภาพ โดยหมักเปลือกสับปะรดด้วยยีสต์และแบคทีเรียกรดแลคติกที่มีคุณสมบัติเป็นโพรไบโอติก ร่วมกับการใช้พรีไบโอติกที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์โพรไบโอติก ได้แก่ อินูลิน และ ไซโลโอลิโกเซคคาไรด์ ทำให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มซินไบโอติกเตปาเช่ที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ลำไส้ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมภูมิต้านทานให้กับผู้บริโภค
เตปาเช่ (Tepache) เป็นเครื่องดื่มพื้นเมืองของเม็กซิโกที่ทำจากเปลือกสับปะรดร่วมกับน้ำตาลหรือเครื่องปรุงรสอื่นๆ เพื่อกระตุ้นการหมักซึ่งมักได้จากยีสต์และแบคทีเรียที่เกิดตามธรรมชาติในสับปะรด เตปาเช่ได้รับความนิยมมากในภูมิภาคละตินอเมริกาเพราะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่สดชื่น และเป็นที่รู้จักในฐานะเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีจุลินทรีย์ที่ส่งเสริมการย่อยอาหารคล้ายกับเครื่องดื่มประเภทโพรไบโอติกการนำเปลือกสับปะรด ซึ่งถือเป็นขยะอาหาร (food waste) มาใช้ในการผลิตเตปาเช่ มีความสำคัญอย่างมากในแง่ของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเปลือกสับปะรดมีส่วนประกอบถึง 40% ของผลสับปะรด ซึ่งมักถูกทิ้งในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร การใช้เปลือกสับปะรดในกระบวนการหมักไม่เพียงแต่เพิ่มมูลค่าให้กับของเสียทางการเกษตรนี้เท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยลดของเสียและสร้างเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ปัจจุบันเตปาเช่ได้รับความสนใจจากการเป็นเครื่องดื่มที่ทำจากกระบวนการหมักแบบธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงแค่ให้ความสดชื่น แต่ยังมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้ เนื่องจากมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และยีสต์ การบริโภคเตปาเช่จึงถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการส่งเสริมสุขภาพโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่สนใจโพรไบโอติกจากแหล่งธรรมชาติ การศึกษาวิธีการผลิตและคุณภาพของเตปาเช่จึงมีความสำคัญ เพราะสามารถช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้ ทั้งในแง่ของการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น สับปะรดที่เหลือจากกระบวนการผลิตอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเตปาเช่ยังมีอย่างจำกัดทั้งทางด้านจุลชีววิทยา และกรรมวิธีการผลิตให้มีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องท้าทายในการทำให้ผลิตภัณฑ์มีรสชาติและคุณภาพที่คงที่ นอกจากนี้การหมักแบบธรรมชาติมีปัจจัยหลากหลายที่ส่งผลต่อคุณภาพเครื่องดื่ม ทั้งอุณหภูมิ เวลา ความเข้มข้นของน้ำตาล และชนิดของจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก การศึกษาและพัฒนาวิธีการผลิตที่ควบคุมคุณภาพได้จึงเป็นที่ต้องการ ดังนั้น การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเตปาเช่ที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ทั้งทางกายภาพ เคมี และประสาทสัมผัส รวมถึงการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีประโยชน์ในการผลิตจึงมีความสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น การใช้สับปะรดที่เหลือจากการแปรรูปอื่น ๆ เพื่อพัฒนาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
คณะเทคโนโลยีการเกษตร
สารปฏิชีวนะ (Antibiotic) ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบการผลิตปศุสัตว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นภูมิคุมกัน เพิ่มประสิทธิภาพการย่อยและดูดซึมโภชนะ กระตุ้นการเจริญเติบโต ปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร และลดการเกิดการติดเชื้อก่อโรค โดยเฉพาะกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคท้องเสีย เป็นต้น นอกจากนั้น สารปฏิชีวนะยังมีส่วนช่วยในเรื่องของผลตอบแทนทางเศรฐกิจอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การใช้สารปฏิชีวนะที่ไม่ถูกวิธีก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการตกค้างของสารปฏิชีวนะในผลิตภัณฑ์ การดื้อยาในสัตว์และผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้หลายประเทศห้ามไม่ให้ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นสารเร่งการเจริญเติบโต เช่น สหภาพยุโรป ประเทศญี่ปุ่น และยังมีอีกหลายๆ ประเทศที่มีการวางแผนที่จะห้ามไม่ให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์ เช่น ประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ในขณะที่ประเทศไทยได้มีประกาศควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์โดยมีผลบังคับใช้ทั้งระดับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ และฟาร์มที่ผสมอาหารสัตว์ใช้เองตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563 ดังนั้น การทดแทนการใช้สารปฏิชีวนะด้วย Probiotic ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี ในการศึกษาครั้งนี้ ได้ทำการศึกษาเชื้อ Lactic acid bacteria ที่มีอยู่ในระบบทางเดินอาหารของไก่เนื้อ สุกร และโคเนื้อ ที่มีคุณสมบัติเป็น Probiotic ที่มีความเหมาะสมต่อการใช้ในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเชื่อต้นแบบทดแทนการนำเข้าผลิตภัณฑ์ Probiotic กลุ่ม Lactic acid bacteria จากต่างประเทศที่มักจะประสบปัญหาเรื่องอัตราการรอดชีวิตเมื่อนำไปใช้จริง
คณะอุตสาหกรรมอาหาร
ขนมเจลลี่ทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพ อร่อยง่าย พกพาสะดวก ดีต่อลำไส้ อุดมไปด้วยโพรไบโอติกและพรีไบโอติก มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เหมาะกับคนที่รัสุขภาพ และผู้ที่แพ้แลคโตสสามารถรับประทานได้ ไม่ใส่แต่งสี และแต่งกลิ่น
คณะวิศวกรรมศาสตร์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบปลอมปนของข้าวสารพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ตามอายุการเก็บรักษา ด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปี โดยใช้ฟูเรียร์ทรานฟอร์มเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปี (FT-NIR) จำนวนคลื่น 12,500 – 4,000 cm-1 (800 – 2,500 nm) ซึ่งอายุการเก็บรักษาของข้าวที่แตกต่างกันส่งผลต่อคุณภาพข้าวหุงสุก งานวิจัยนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน 1) เพื่อตรวจสอบความเป็นไปในการแยกข้าวสารตามอายุการเก็บรักษา 1 2 และ 3 ปี แบบจำลองที่ดีที่สุดสร้างด้วย Ensemble ร่วมกับ Second Derivative มีค่าความถูกต้อง (Accuracy) เท่ากับ 96.3% 2) ตรวจสอบการปลอมปนตามอายุการเก็บรักษา โดยปลอมปนที่ 0% (ข้าว 2 และ 3 ปีทั้งหมด), 10%, 20%, 30%, 40%, 50%, 60%, 70%, 80%, 90% และ 100% (ข้าว 1 ปีทั้งหมด) แบบจำลองที่ดีที่สุดสร้างด้วย Gaussian Process Regression (GPR) ร่วมกับ Smoothing + Multiplicative Scatter Correction (MSC) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การกำหนด (r²) ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ยของการทำนาย (RMSEP) ค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ย (Bias) และค่าความสามารถในการทำนาย (RPD) เท่ากับ 0.92 8.6% 0.9% และ 3.6 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าแบบจำลองการปลอมปนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับการตรวจสอบการแยกประเภทข้าวตามอายุการเก็บรักษา 1 ปี 2 ปี และ 3 ปี นอกจากนั้นค่าสีของข้าวที่อายุการเก็บรักษาต่างกันมีค่าสี L* และ b* ต่างกันอีกด้วย