ปลากระเบนตุ๊กตา (Brevitrygon heterura) เป็นปลากระเบนที่พบได้บ่อยในตลาดท้องถิ่น แต่เช่นเดียวกับปลากระเบนชนิดอื่นๆ ปลากระเบนตุ๊กตาก็เผชิญกับการคุกคามจากการประมงเกินขนาดและการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย ดังนั้น การระบุชนิดของปลาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญ เนื่องจากมาตรการอนุรักษ์อาจแตกต่างกันตามชนิดของปลา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแปรผันทางลักษณะภายนอกของ B. heterura ในอ่าวไทยโดยการศึกษาทางสัณฐานวิทยาและการวิเคราะห์พันธุกรรม ในระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงกุมภาพันธ์ 2566 ได้เก็บตัวอย่างจำนวน 49 ตัวอย่างจากท่าเรือที่จอดเรือ พบว่ามีสองกลุ่มที่แตกต่างกันตามลักษณะทางสัณฐานวิทยาโดยพิจารณาจาก 40 สัดส่วน ตัวอย่างจากจังหวัดจันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรสาคร นครศรีธรรมราช และสงขลา ซึ่งเรียกว่ากลุ่ม A มักมีความยาวปากยาวกว่าตัวอย่างจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเรียกว่ากลุ่ม B ตามลักษณะทางสัณฐานภายนอกที่ใช้ในการระบุชนิดของปลา มีสัดส่วนทางสัณฐานวิทยา สาม สัดส่วนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม A และกลุ่ม B ลักษณะหลักที่อธิบายความแปรผันภายในชนิดระหว่างกลุ่ม A และกลุ่ม B จะได้รับการอภิปรายเพิ่มเติม การศึกษารหัสพันธุกรรมดีเอ็นเอบาร์โค้ดจากชิ้นส่วนของยีน cytochrome c oxidase subunit I (COI) จากตัวอย่าง 41 ตัวอย่างจากกลุ่ม A และ 8 ตัวอย่างจากกลุ่ม B พบว่าเปอร์เซ็นต์ความแตกต่างของลำดับรหัสพันธุกรรม (p-distance) ระหว่างกลุ่ม A และกลุ่ม B อยู่ที่ 0.0-2.5 การศึกษานี้ช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความแปรผันของรูปแบบและพันธุกรรมของ B. heterura ในอ่าวไทย
ปลากระเบนสกุล Brevitrygon เป็นกลุ่มปลากระเบนที่จัดอยู่ในชั้น (class) Chondrichthyes อันดับ Myliobatiformes จัดอยู่ในกลุ่มปลากระดูกอ่อน สามารถพบได้ ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อยและทะเล ลักษณะส่วนใหญ่ของปลาอันดับนี้ ครีบอกจะแผ่ออกทางด้านข้าง ลำตัวค่อนข้างแบนลงคล้ายกับจาน มีเหงือกจำนวน 5 คู่อยู่ล่างของลำตัวช่วงส่วนหัวบริเวณที่ต่อจากส่วนท้ายตาจะมีช่องสำหรับน้ำเข้า (spiracle) ในแต่ละวงศ์ (family) จะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน ปลากระเบนสกุล Brevitrygon จัดอยู่ ในวงศ์ Dasyatidea ซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ที่หางยาวคล้ายแส้ ปลากระเบนสกุลนี้จากการศึกษามีทั้งหมด 4 ชนิด (Last et al. 2016) จากการรวบรวมข้อมูลจากต่างประเทศพบว่า ปลากระเบนสกุล Brevitrygon สามารถเจอใน ประเทศไทย 2 ชนิด ได้แก่ ปลากระเบนตุ๊กตา (B. heterura) และกระบาง (B. imbricata) (Last et al. 2016) โดยปลากระบางสามารถพบที่ทะเลฝั่งอันดามันเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับปลากระเบน ตุ๊กตาที่จะพบได้ทั้งบริเวณฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน แต่จากการรวบรวมรายงานข้อมูลปลากระดูกอ่อน ที่พบในน่านน้ำไทยและน่านน้ำใกล้เคียงโดยมีการจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน (ทัศพล และคณะ, 2562) ได้พบว่ามีการเจอปลา กระเบนที่มีลักษณะที่คล้ายคลึง (Look- alike species) กับปลากระบางอาศัยใน บริเวณอ่าวไทย จึงได้มีการเรียกชื่อปลากระเบนชนิดนี้ว่า B. cf. imbricate ดังนั้นจึงจ้าเป็นต้องมี การศึกษาเพื่อยืนยันชนิดของปลากระเบนสกุล Brevitrygon ที่พบในน่านน้ำไทย และเพื่อตรวจสอบและ เปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะทางอนุกรมวิธานจากสัณฐานวิทยาภายนอกของปลากระเบนสกุลนี้ จากการการสำรวจโดยกรมประมงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ไปจนถึง 2560 มีแนวโน้มที่มีการศึกษาและค้นพบ ปลากระดูกอ่อนชนิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Krajangdara, 2017) ตรงกันข้ามกับการศึกษา ชนิดของปลากระดูกอ่อนที่คล้ายคลึงกันในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มลดลงและไม่ได้รับความนิยม ทำให้ข้อมูลทางวิชาการด้านอนุกรมวิธานยังมีไม่เพียงพอ รวมไปถึงปลากระเบนสกุล Brevitrygon ที่เป็นปลากระเบนที่พบจำนวนมากในประเทศไทย แต่ยังมีความไม่ชัดเจนและคล้ายคลึงกันของลักษณะภายนอก ในแต่ละชนิดของปลา กระเบนสกุลนี้ ซึ่งควรได้รับการตรวจสอบเพื่อยืนยันถึงสายพันธุ์ของปลากระเบน สกุลนี้เพื่อความถูกต้องของฐานข้อมูลในประเทศไทย การศึกษาในครั้งนี้จึงได้ทำการศึกษาการ อนุกรมวิธานทั้งลักษณะภายนอกและการวัดสัดส่วนในสัดส่วนต่าง ๆ ของปลากระเบนเพื่อเปรียบเทียบและหาความแตกต่างและนำเทคนิคทางชีวโมเลกุลมาศึกษาเพื่อตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของชนิดปลากระเบนในสกุลนี้ การศึกษาในครั้งนี้จึงมีความสำคัญสำหรับงานด้านการอนุกรมวิธานเพื่อใช้ในการจัดการทรัพยากรปลากระเบนที่ไม่ได้รับความสนใจเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการอนุรักษ์และความหลากหลายของปลากระดูกอ่อน รวมไปถึงเพื่อยืนยันชนิดของปลากระเบนสกุล Brevitrygon ในประเทศไทย
คณะเทคโนโลยีการเกษตร
พริก (Capsicum chinense) เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมอาหารและยา เนื่องจากเป็นแหล่งของแคปไซซิน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีบทบาทสำคัญ อย่างไรก็ตาม ระดับความเผ็ดและคุณภาพผลผลิตได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อม และปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม (G×E interaction) ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนในการสังเคราะห์แคปไซซิน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันต่อการเจริญเติบโต คุณภาพผลผลิต และปริมาณแคปไซซินของพริกเผ็ด C. chinense พันธุ์ Scotch Bonnet โดยดำเนินการปลูกทดสอบ ณ แปลงสาธิตของคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในช่วงสองฤดูกาลเพาะปลูก ได้แก่ กรกฎาคม–ตุลาคม (ฤดูฝน) และ ธันวาคม–เมษายน (ฤดูแล้ง) ภายใต้ 4 สภาพแวดล้อมการปลูก พร้อมทำการวิเคราะห์อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ และคุณภาพของแสงในแต่ละสภาพแวดล้อมเพื่อประเมินผลกระทบต่อสรีรวิทยาของพืชและกระบวนการสังเคราะห์แคปไซซิน นอกจากนี้ ได้พัฒนาเมล็ดพันธุ์ลูกผสม (F1 hybrid) โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ 6 สายพันธุ์ ผ่านแผนการผสมแบบ Half-diallel 15 คู่ลูกผสม พร้อมทั้งประเมินค่าความสามารถในการผสมทั่วไป (General Combining Ability; GCA) และความสามารถในการผสมเฉพาะ (Specific Combining Ability; SCA) เพื่อคัดเลือกคู่ผสมที่มีศักยภาพสูงในการให้ผลผลิตและปริมาณแคปไซซินที่สม่ำเสมอ ผลการศึกษานี้คาดว่าจะเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพริกเผ็ดสูง ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่มีศักยภาพในการผลิตเชิงพาณิชย์และสามารถคงระดับแคปไซซินในระดับสูงได้อย่างมีเสถียรภาพ
คณะวิศวกรรมศาสตร์
โครงการนี้นำเสนอระบบจัดเก็บแผ่นเหล็กแนวตั้งอัตโนมัติ ทำงานโดยเรียนรู้วิธีการออกแบบและสร้างระบบจัดเก็บแผ่นเหล็กแนวตั้งอัตโนมัติที่รวมเข้ากับอุปกรณ์ไมโครคอนโทรลเลอร์ โครงการประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ โครงสร้างและระบบควบคุมระบบจัดเก็บแผ่นเหล็กแนวตั้งอัตโนมัติ ซึ่งจะออกแบบและเขียนแบบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และสร้างโดยใช้โครงสร้างหลักอะลูมิเนียมตามขนาดจริงที่ออกแบบในโปรแกรม และระบบควบคุมไมโครคอนโทรลเลอร์ใช้โปรแกรม GX Works 2 ของ Mitsubishi PLC เพื่อออกแบบระบบที่ควบคุมการขึ้นและลง เข้าและออกของพาเลท สามารถชั่งน้ำหนักได้และมีหน้าจอสัมผัสแสดงข้อมูลแผ่นเหล็กและใช้ควบคุมระบบจัดเก็บแผ่นเหล็กแนวตั้งอัตโนมัติและม่านแสงนิรภัยเพื่อป้องกันด้านความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทดสอบการทำงานของเครื่องจัดเก็บแผ่นเหล็กแนวตั้งอัตโนมัติ แล้วพบว่าทำงานได้ตามปกติ มีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบอร์ดเกมสำหรับการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการเกษตรผสมผสาน และศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี ที่ได้ใช้บอร์ดเกมดังกล่าวในการเรียนรู้ โดยมีเครื่องมือในการวิจัยได้แก่ บอร์ดเกมที่พัฒนาขึ้นด้วย Educational Boardgame Design Canvas มีลักษณะเป็นเกมวางแผน กระดานเกม 5 แผ่น การ์ดจำนวน 166 ใบ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ การ์ดสุ่มสถานการณ์ จำนวน 30 ใบ การ์ดแอคชันพิเศษ จำนวน 60 ใบ การ์ดตัวละคร จำนวน 16 ใบ และการ์ดการผลิต จำนวน 60 ใบ โทเคนทรัพยากร จำนวน 180 โทเคน 6 ประเภท ได้แก่ โทเคนน้ำจำนวน 60 โทเคน โทเคนดิน จำนวน 60 โทเคน โทเคนผลผลิตจากพืช จำนวน 45 โทเคน โทเคนผลผลิตจากสัตว์ จำนวน 45 โทเคน โทเคนผลผลิตจากสัตว์น้ำ จำนวน 45 โทเคน และ โทเคนเงิน จำนวน 45 โทดคน ลูกเต๋า จำนวน 1 ลูกและแผ่นช่วยเล่น 5 แผ่น ที่จำเป็นในการเล่น ซึ่งเกมนี้เน้นให้ผู้เล่นวางแผนการทำเกษตรผสมผสานเพื่อให้ได้ผลผลิตและคะแนนความสำเร็จสูงสุด ภายใต้เงื่อนไขของเกมและสถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้น แบบทดสอบก่อนและหลังการใช้บอร์ดเกม และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนหลังใช้บอร์ดเกมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนใช้บอร์ดเกมอยู่ที่ 6.54 คะแนน และหลังใช้บอร์ดเกมเพิ่มขึ้นเป็น 17.71 คะแนน นอกจากนี้ การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนการสอนด้วยบอร์ดเกมพบว่ามีระดับความพึงพอใจในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.45) โดยรายการที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่ การที่ผู้สอนให้ทำแบบทดสอบหลังเรียน (ค่าเฉลี่ย 4.69) และการใช้วิธีการสอนที่น่าสนใจและหลากหลาย (ค่าเฉลี่ย 4.66)