การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสูตรสารเคลือบที่เหมาะสมสำหรับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง โดยใช้กัมอารบิก (GA) 10% ร่วมกับสารสกัดจากเปลือกมังคุด (MPE) ในความเข้มข้นต่างๆ (1%, 3%, 5%) เปรียบเทียบกับชุดควบคุม (น้ำกลั่น) ภายใต้การเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง 14 วัน ผลการทดลองพบว่า การเคลือบผิวด้วย GA 10% ร่วมกับ MPE สามารถลดการเปลี่ยนแปลงสีของเนื้อผล ลดการเกิดโรค และคงความแน่นเนื้อได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของ TSS, TA, วิตามินซี, แคโรทีนอยด์ และฟีนอลิก โดยเฉพาะสูตรที่ใช้ GA 10% + MPE 1% มีประสิทธิภาพสูงสุดในการยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มความเงางามของผลมะม่วง
มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยที่มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีรสชาติและกลิ่นที่ได้รับความนิยมและมีความต้องการในตลาดในประเทศและนอกประเทศ โดยเราจะพบว่าการส่งออกมะม่วงในไทยมีการส่งออกมากเป็นอันดับ 1 ในประเทศประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ด้านการส่งออกและเป็นอันดับ 3 ด้านการผลิตมะม่วงโดยความสำคัญในด้านส่งออกมีการให้ความสำคัญในด้านคุณภาพด้านสี กลิ่นและคุณภาพด้านระยะเวลาการเก็บ แต่ปัญหาที่สำคัญของมะม่วงในระหว่างการเก็บรักษาและการ ส่งออก คือ การสูญเสียน้ำหนัก การสุกในระหว่างการขนส่งและการเกิดโรค ทําให้ผลิตผลไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและทําให้ผลมะม่วงที่ผลิตได้มีมูลค้าลดลง (อนุธิดา, 2549) การเคลือบผิวผลิตผลเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาและลดการเสื่อมคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวได้ ทั้งนี้การเลือกใช้สารเคลือบผิวควรเลือกชนิด และความเข้มข้นให้เหมาะสมกับผลิตผลแต่ละชนิด ที่สําคัญคือควรคํานึงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคให้มากที่สุด (จรัญญา และคณะ, 2550) โดยการเลือกใช้สารเคลือบ กัมอารบิก (Gum Arabic) เป็นสารประกอบธรรมชาติชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มสารไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloids) ที่นิยมใช้กันแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรมอาหาร เป็นสารประกอบจากธรรมชาติที่ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีรส ที่สำคัญไม่เป็นพิษต่อร่างกายและ มลภาวะ ปัจจุบันได้ผ่านการรับรองระบบมาตรฐาน ของอาหารโลก และได้รับกำหนดในตำรับ GRAS (Generally Recognized as Safe) และมาตรฐานของ United State pharmacopeia, Food Chemical Codex และ EU Number E414 รวมทั้งผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศไทย (มูทาดา, 2543) ควบคู่กับสารสกัดจากเปลือกมังคุด ซึ่งล่าสุดมีการนำแนวคิดดังกล่าวไปประยุกต์กับ ‘มังคุด’ ในบ้านเรา ซึ่งแต่ละปีมีผลผลิตกว่า 3 แสนตัน จำนวนนี้เป็นมังคุดเพื่อการส่งออกถึง 70% และขายในประเทศอีก 30% และเมื่อรับประทานเสร็จแล้วเปลือกจะถูกทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงควรมีการนำมังคุดไปใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด โดยจากการศึกษามีรายงานว่าในส่วนของเปลือกมังคุดมีสารสําคัญที่สามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติใช้เป็นยา ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสำคัญจากการสกัดเปลือกผลมังคุด ได้แก่ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ อนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น (สังกัดสำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร, 2452) การใช้สารสกัดจากเปลือกมังคุดจะเป็นการนำของที่เป็นขยะเหลือใช้ที่ไม่มีราคาให้มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้นในการเลือกใช้เป็นสารสกัดที่ใช้ร่วมกับสารเคลือบเพื่อช่วยในการเก็บรักษามะม่วงหลักการเก็บเกี่ยวได้
วิทยาลัยการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม
โรคเบาหวานเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับแผลเบาหวาน ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 15-25% มีโอกาสเกิดแผลที่เท้า และมากกว่า 50% ของแผลเบาหวานที่รุนแรงนำไปสู่การตัดขา ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลงอย่างมาก การรักษาแผลเบาหวานในปัจจุบันยังเผชิญกับปัญหาการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาและกระบวนการสมานแผลที่ล่าช้า ทำให้มีความจำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยเร่งกระบวนการหายของแผลและลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียอวัยวะ เคี่ยม (Cotylelobium lanceolatum Craib) เป็นพืชสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์แผนไทยมานาน โดยเฉพาะในการรักษาอาการอักเสบและสมานแผล งานวิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา สารสกัดจากเคี่ยมในรูปแบบนาโนซิลเวอร์ (Nano Silver) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลเบาหวาน เทคโนโลยี นาโนซิลเวอร์ ช่วยให้สารออกฤทธิ์สามารถซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกขึ้น ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระตุ้นกระบวนการสมานแผลโดยลดการอักเสบและส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก นาโนซิลเวอร์ที่ได้จากสารสกัดเคี่ยม คาดว่าจะช่วยลดอัตราการเกิดแผลเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และลดโอกาสในการถูกตัดขาหรือเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของแผลเบาหวาน งานวิจัยนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาแผลเบาหวานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คณะวิทยาศาสตร์
แบคเทอริโอซินเป็นเปปไทด์ต้านจุลชีพชนิดหนึ่งที่จุลินทรีย์เป็นคนผลิตออกมาซึ่งมีความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคได้ จากงานวิจัยนี้นั้นได้มีการศึกษาความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคและระบุชนิดของแบคเทอริโอซินของแบคเรียกรดแลคติกสายพันธุ์ TKP1-5 ที่คัดแยกมาจากอุจจาระเป็ด ซึ่งมีการระบุลักษณะสปีชีส์ของสายพันธุ์ TKP1-5 โดยใช้การวิเคราะห์จากลำดับ 16s rRNA และลำดับจีโนมทั้งหมด พบว่าจากค่า ANIb, ANIm, และค่า dDDH พบว่าสายพันธุ์นี้คือ Lactococcus lactis อีกทั้งยังมีการทดสอบลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์นี้พบว่ามีความสามารถในการเจริญเติบโตใดในสภาวะแวดล้อมดังต่อไปนี้ สามารถโตได้ที่เปอร์เซ็นต์เกลือที่ 2-6% อุณหภูมิ 25-45 องศาเซลเซียส และพีเอช 3-9 ตามลำดับ โดยการศึกษาและระบุชนิดของแบคเทอริโอซินผ่านการวิเคราะห์ลำดับจีโนมนั้นพบว่าเป็นชนิด ไนซิน-ซี (Nisin-Z) ที่ค่าคะแนนเท่ากับ 114.775 รวมไปถึงการวิเคราะห์ความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคพบว่ามีความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคดังนี้ Pediococcus pentosaceus JCM5885, Listeria monocytogenes ATCC 19115, Enterococcus faecalis JCM 5803T, Salmonella Typhimurium ATCC 13311ᵀ, Aeromonas hydrophila B1 AhB1, Streptococcus agalactiae 1611 และ Streptococcus cowan I ตามลำดับ การวิเคราะห์ลำดับจีโนมทั้งหมดยังยืนยันได้อีกว่า L.lactis TKP 1-5 นี้ไม่พบยีนที่สามารถจะเป็นจุลชีพก่อโรค ยีนดื้อยา และพลาสมิด อีกด้วย อีกทั้งยังพบยีนที่มีความเกี่ยวข้องในการเป็นโพรไบโอติกหรือยีนที่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกด้วย ทั้งนี้หวังว่าสายพันธุ์ TKP1-5จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อุตสาหกรรมอาหารนั้นนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารในการต้านจุลชีพก่อโรคในอนาคต
คณะบริหารธุรกิจ
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของ thesis ของนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ หลักสูตร นานาชาติ ในหัวข้อ Business Plan เกี่ยวกับ recycled fabric นำมาผลิตเป็น blazers และ trousers