ปัจจุบันปัญหาที่จอดรถในเขตเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความแออัดของจราจร การบริหารพื้นที่ และสิ่งแวดล้อม ระบบจอดรถอัตโนมัติ (Automated Parking System: APS) เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ ลดระยะเวลาค้นหาที่จอด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก งานวิจัยนี้ศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยี APS โดยใช้กรอบแนวคิด UTAUT2 และตัวแปรสำคัญ เช่น ความคาดหวังด้านประสิทธิภาพ (Performance Expectancy), ความง่ายในการใช้งาน (Effort Expectancy), อิทธิพลทางสังคม (Social Influence), ความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี (Trust in Technology) และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Consciousness) โดยโครงการ APS Evolution นำเสนอโซลูชันการจอดรถอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ในเมือง โดยมุ่งเน้น การพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้และการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ
ในยุคของการขยายตัวของเมือง (Urbanization) ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาพื้นที่จอดรถไม่เพียงพอในเขตเมืองได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อทั้ง ความแออัดของจราจร และ การเพิ่มขึ้นของมลพิษทางอากาศ จากการวนหาที่จอดรถ ระบบ ลิฟต์จอดรถอัตโนมัติ (Automated Parking System: APS) เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถเพิ่มจำนวนที่จอดรถได้ในพื้นที่จำกัด ลดการใช้พลังงาน และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีนี้จะมีศักยภาพสูง แต่การยอมรับจากผู้ใช้งาน (User Adoption) ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องผลักดัน การนำเสนอและสาธิตการทำงานของ APS ในงาน KMITL EXPO จึงมีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี (Trust in Technology) และสร้างความตระหนักรู้ถึง ประโยชน์เชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Consciousness) ของระบบจอดรถอัตโนมัตินี้ และแม้ว่าเทคโนโลยีลิฟต์จอดรถอัตโนมัติจะมีข้อดีที่ชัดเจน แต่ พฤติกรรมการยอมรับเทคโนโลยี (Behavioral Intention) ยังคงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความคาดหวังว่าระบบจะช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น (Performance Expectancy), ความคุ้มค่าในแง่ต้นทุนและประโยชน์ที่ได้รับ (Price Value) รวมถึงความตระหนักในบทบาทของเทคโนโลยีต่อการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Consciousness) โครงการนี้จึงมุ่งเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้ระบบ APS ผ่านกรอบแนวคิด UTAUT2 (Unified Theory of Acceptance and Use of Technology 2) ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้เข้าใจถึง ความต้องการและความคาดหวังของผู้ใช้ ซึ่งสามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมนี้ให้ตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายด้าน การใช้เว็บไซต์เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยในกรณีศึกษานี้ ได้ทำการพัฒนาเว็บไซต์สำหรับวิชา Object Oriented Programming (OOP) ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สอนและผู้ช่วยสอนในการกรอกคะแนน ตรวจงาน และติดตามความก้าวหน้าของนักศึกษา ซึ่งระบบที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถช่วยลดข้อผิดพลาดในการกรอกคะแนน การตรวจงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงสามารถติดตามผลการเรียนและการส่งงานของนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกในการจองคิวส่งงานและโปรเจคของนักศึกษา รวมถึงการแสดงข้อมูลสถิติคะแนนของนักศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย
วิทยาลัยนวัตกรรมการผลิตขั้นสูง
หุ่นจำลองเด็กสำหรับใช้ฝึกการกู้ชีพ (CPR) ภายในตัวหุ่นมีกลไกหลอดลม กลไกคอ กลไกปอด กลไกการปั้มหัวใจ ผิวหนังเทียม และระบบเซนเซอร์ ทั้งหมดทำงานร่วมกันทำหน้าที่คล้ายเด็กจริง สามารถใช้ฝึกการปั้มหัวใจ และการผายปอดได้ โดยหุ่นได้รับการออกแบบและตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญการกู้ชีพ มีระบบประเมินความถูกต้องของการฝึกพร้อมแสดงผลในคอมพิวเตอร์สำหรับการตรวจสอบแบบทันที
คณะวิทยาศาสตร์
แบคเทอริโอซินเป็นเปปไทด์ต้านจุลชีพชนิดหนึ่งที่จุลินทรีย์เป็นคนผลิตออกมาซึ่งมีความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคได้ จากงานวิจัยนี้นั้นได้มีการศึกษาความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคและระบุชนิดของแบคเทอริโอซินของแบคเรียกรดแลคติกสายพันธุ์ TKP1-5 ที่คัดแยกมาจากอุจจาระเป็ด ซึ่งมีการระบุลักษณะสปีชีส์ของสายพันธุ์ TKP1-5 โดยใช้การวิเคราะห์จากลำดับ 16s rRNA และลำดับจีโนมทั้งหมด พบว่าจากค่า ANIb, ANIm, และค่า dDDH พบว่าสายพันธุ์นี้คือ Lactococcus lactis อีกทั้งยังมีการทดสอบลักษณะเฉพาะของสายพันธุ์นี้พบว่ามีความสามารถในการเจริญเติบโตใดในสภาวะแวดล้อมดังต่อไปนี้ สามารถโตได้ที่เปอร์เซ็นต์เกลือที่ 2-6% อุณหภูมิ 25-45 องศาเซลเซียส และพีเอช 3-9 ตามลำดับ โดยการศึกษาและระบุชนิดของแบคเทอริโอซินผ่านการวิเคราะห์ลำดับจีโนมนั้นพบว่าเป็นชนิด ไนซิน-ซี (Nisin-Z) ที่ค่าคะแนนเท่ากับ 114.775 รวมไปถึงการวิเคราะห์ความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคพบว่ามีความสามารถในการยับยั้งจุลชีพก่อโรคดังนี้ Pediococcus pentosaceus JCM5885, Listeria monocytogenes ATCC 19115, Enterococcus faecalis JCM 5803T, Salmonella Typhimurium ATCC 13311ᵀ, Aeromonas hydrophila B1 AhB1, Streptococcus agalactiae 1611 และ Streptococcus cowan I ตามลำดับ การวิเคราะห์ลำดับจีโนมทั้งหมดยังยืนยันได้อีกว่า L.lactis TKP 1-5 นี้ไม่พบยีนที่สามารถจะเป็นจุลชีพก่อโรค ยีนดื้อยา และพลาสมิด อีกด้วย อีกทั้งยังพบยีนที่มีความเกี่ยวข้องในการเป็นโพรไบโอติกหรือยีนที่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกด้วย ทั้งนี้หวังว่าสายพันธุ์ TKP1-5จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อุตสาหกรรมอาหารนั้นนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารในการต้านจุลชีพก่อโรคในอนาคต