KMITL Innovation Expo 2025 Logo

การผลิตต้นวิโอลา (Viola) ดอกไม้กินได้ด้วยระบบการปลูกโดยไม่ใช้ดิน

การผลิตต้นวิโอลา (Viola) ดอกไม้กินได้ด้วยระบบการปลูกโดยไม่ใช้ดิน

รายละเอียด

การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมร่วมกับจำนวนชั่วโมงในการให้แสงต่อการเจริญเติบโตของต้นวิโอลา (Viola) ภายใต้โรงงานผลิตพืช เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลผลิต ลดระยะเวลา และเพิ่มรอบการผลิตให้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยวางแผนการทดลองแบบ 3x3 Factorial in CRD มี 9 กรรมวิธี กรรมวิธีละ 3 ซ้ำๆ ละ 6 ต้น ซึ่งปัจจัยที่ใช้ศึกษามีอยู่ 2 ชนิด คือ ปัจจัยที่ 1 ความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจน (N) ร่วมกับโพแทสเซียม (K) ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน 3 ระดับ ดังนี้ 1) N:K 1:1, 2) N:K 1:2 และ 3) N:K 2:1 ปัจจัยที่ 2 จำนวนชั่วโมงในการให้แสงต่อวันที่แตกต่างกัน 3 กรรมวิธี ดังนี้ 1) จำนวนชั่วโมงในการให้แสง 24 ชั่วโมงต่อเนื่อง 2) จำนวนชั่วโมงในการให้แสงช่วง Vegetative 8 ชั่วโมงพัก 16 ชั่วโมง จากนั้นช่วงกระตุ้นตาดอกเพิ่มแสงเป็น 13 ชั่วโมง พัก 11 ชั่วโมง หลังจากเกิดตาดอก จะให้แสง 8 ชั่วโมง พัก 16 ชั่วโมง และ 3) จำนวนชั่วโมงในการให้แสง 5 ชั่วโมงพัก 3 ชั่วโมง โดยทุกกรรมวิธีปรับอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ค่า EC 1.5-2.0 mS/cm และ ค่า pH 5.8-6.5 ผลการทดลอง พบว่า การให้ระดับความเข้มข้นของปุ๋ย N:K ในอัตราส่วน 1:1 ร่วมกับแสง 24 ชั่วโมง ทำให้การเจริญเติบโตทางลำต้นและมีคุณภาพดอกมากที่สุด รวมทั้งการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสโดยภาพรวมอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เหมาะแก่การนำไปประกอบอาหารหรือตกแต่งจาน ซึ่งกรรมวิธีนี้ทำให้สามารถเพิ่มคุณภาพของผลผลิตได้ดีที่สุด สามารถลดระยะเวลาในการผลิตดอกวิโอลาในแต่ละรอบจาก 90-100 วัน ลดลงเหลือ 43-45 วัน และเพิ่มรอบการผลิตให้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องคำนึงถึงฤดูกาล หรือสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งดีต่อเกษตรกรผู้ผลิต

วัตถุประสงค์

ปัจจุบันการบริโภคดอกไม้กินได้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ ซึ่งดอกไม้แต่ละชนิดมีคุณค่าทางอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันไป (สุพัตรา, 2548) โดยดอกไม้แต่ละชนิดจะมีสารสำคัญแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสีของกลีบดอกไม้ เช่น สารในกลุ่มโพลีฟีนอล ฟลาโวนอยด์ และสารกลุ่ม anthocyanins มักพบในดอก เจอราเนียม กุหลาบ เบญจมาศ ชบา พิทูเนีย แพนซี และวิโอลา (Kumari, 2017) ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดหัวใจ และยังเป็นสารต้านมะเร็ง รวมถึงช่วยชะลอความชรา (Shi et al., 2008; Kaisoon et al., 2011) ดอกไม้กินได้ที่นิยมใช้ประกอบอาหารหรือตกแต่งจาน ได้แก่ เดซี่ แนสเตอร์ชัม คาโมมายล์ ผีเสื้อ และวิโอลา (Face food accessory, 2564) ดอกวิโอลา มีกลิ่นหอมอ่อนและรสเปรี้ยว อุดมไปด้วยวิตามินเอ อีและซี ส่วนใหญ่นิยมนำไปประกอบในเมนูสลัด (มูลนิธิโครงการหลวง, 2561; ออนไลน์) โดยต้นวิโอลา (Viola) อยู่ในวงศ์ Violaceae มีอยู่ 25 สกุล ประมาณ 525 -600 ชนิด กระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก (William, 2020) มีถิ่นกำเนิดในประเทศที่มีอากาศอบอุ่นจนถึงอากาศหนาวเย็น เป็นไม้ล้มลุก อายุสั้น ต้นสูง 10-30 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย กลีบดอกกลมกว้าง มี 5 กลีบเกยซ้อนกัน สีของกลีบดอกมีด้วยกันหลายสี เช่น สีขาว สีส้ม สีชมพู สีม่วงเข้มและสีเหลือง เป็นต้น (นายเกษตร, 2554; ออนไลน์) ธาตุอาหารมีความสําคัญต่อการดํารงชีวิตของพืช ส่งผลต่อคุณภาพผลผลิต หากขาดหรือไม่มีเลยจะทําให้พืชแสดงอาการผิดปกติ หรือตายได้ ดังนั้นการให้ธาตุอาหารในระดับที่เหมาะสมและสมดุลจึงมีความเฉพาะเจาะจงกับพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน โดยธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียม เป็นธาตุอาหารหลักที่จําเป็นสําหรับการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืช ช่วยในการกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงและการหายใจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแป้ง น้ำตาล และโปรตีนจากใบไปสู่ผล ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก ทําให้รากดูดน้ำ ดูดธาตุอาหาร ได้ดีขึ้น เร่งการออกดอก และทําให้พืชมีสีสันเพิ่มมากขึ้น (ไทยเกษตรศาสตร์, 2555; ออนไลน์) จากการศึกษาความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมต่อการเจริญเติบโตของแพงพวยเลื้อย พบว่า ระดับของไนโตรเจนที่ 100 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้ขนาดทรงพุ่มกว้างที่สุด แต่ความเข้มข้นที่ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้จํานวนดอกต่อต้นมากที่สุด (ประภาพรรณ, 2556) นอกจากนี้แสงยังเป็นปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการออกดอกของพืชโดยตรง ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ ในการสร้างอาหารและการสะสมอาหารในพืช (สมบุญ, 2538) โดยเฉพาะความยาววัน (photoperiod) จากการศึกษาในฟรีเซีย พบว่า สภาพวันสั้นมีผลต่อการกระตุ้นการเกิดและการพัฒนาตาดอกของฟรีเซียในช่วงแรก และความเข้ม แสงต่ำชะลอการสร้างตาดอก (flower initiation) และการพัฒนาตาดอก (flower development) (โสระยา, 2543) ดอกไม้กินได้ปลูกทั้งในดินและปลูกโดยไม่ใช้ดิน แต่การปลูกวิโอลาในสภาพธรรมชาติมักพบปัญหาการแสดงอาการขาดธาตุอาหาร เนื่องจากมีการให้ปุ๋ยในอัตราส่วนที่ไม่เหมาะสมส่งผลให้พืชได้รับธาตุอาหารที่ไม่สมดุลกัน ทำให้พืชแสดงอาการขาดธาตุอาหาร หยุดการเจริญเติบโต อีกทั้งการควบคุมปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชก็เป็นไปได้ยาก เกิดโรคและแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลให้คุณภาพและปริมาณของผลผลิตลดลง ปัญหาเรื่องธาตุอาหาร น้ำ แสง โรคและแมลง จะสามารถควบคุมได้ เมื่อปลูกพืชในระบบ Plant Factory ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการปลูกพืชที่พัฒนามาจากการปลูกพืชในระบบไฮโดรโปนิกส์ ร่วมกับการควบคุมปัจจัยภายนอก ได้แก่ ความเข้มแสง อุณหภูมิ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การจัดการโรคและแมลง และด้วยความสามารถในการควบคุมปัจจัยในการผลิตได้ (วรพจน์, 2557; Kozai et al., 2016) จึงสามารถกำหนดรอบหรือระยะเวลาการผลิตพืชได้ เช่น ให้แสงเพื่อกระตุ้นการออกดอก เร่งวันในการออกดอกของวิโอลา ผลผลิตแต่ละรอบจะออกดอกเร็วขึ้น มีคุณภาพดี สะอาด ปราศจากโรค และผลิตพืชได้ตลอดทั้งปี ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาระดับความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมร่วมกับจำนวนชั่วโมงในการให้แสงต่อการเจริญเติบโตของต้นวิโอลาในระบบ Plant Factory

นวัตกรรมอื่น ๆ

การประยุกต์ใช้เทคนิค Hydro priming ด้วยน้ำพลาสมาต่อคุณภาพความงอกของข้าวไรซ์เบอรี่

คณะเทคโนโลยีการเกษตร

การประยุกต์ใช้เทคนิค Hydro priming ด้วยน้ำพลาสมาต่อคุณภาพความงอกของข้าวไรซ์เบอรี่

การทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของน้ำที่ผ่านการฉายพลาสมาในเวลาที่แตกต่างกันต่อคุณภาพการงอกของเมล็ดพันธุ์ข้าวไรซ์เบอรี่ เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพความงอกของเมล็ดพันธุ์ข้าวไรซ์เบอรี่

การผลิตกากชานอ้อยพร้อมใช้สำหรับใช้รมควันเนื้อสัตว์

คณะอุตสาหกรรมอาหาร

การผลิตกากชานอ้อยพร้อมใช้สำหรับใช้รมควันเนื้อสัตว์

ผู้วิจัยมีแนวคิดพัฒนากากชานอ้อยผสมโมลาสเพื่อใช้เป็นวัสดุรมควันเนื้อสัตว์ โดยเพิ่มกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์ธุรกิจอาหารและความต้องการของผู้บริโภค ทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้จากโรงงานน้ำตาล ลดของเสีย และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

การหมักร่วมกันของ lactic acid bacteria และ Saccharomyces cerevisiae เพื่อผลิตเบียร์เปรี้ยว

คณะอุตสาหกรรมอาหาร

การหมักร่วมกันของ lactic acid bacteria และ Saccharomyces cerevisiae เพื่อผลิตเบียร์เปรี้ยว

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการหมักร่วม (Co-fermentation) ระหว่างแบคทีเรียกรดแลคติก (Lactic Acid Bacteria, LAB) และยีสต์ Saccharomyces cerevisiae ในการผลิตเบียร์เปรี้ยว (Sour Beer) โดยมุ่งเน้นผลกระทบของการหมักร่วมต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ค่า pH ปริมาณกรดอินทรีย์ ปริมาณน้ำตาล และคุณลักษณะทางประสาทสัมผัส ในการทดลอง ใช้แบคทีเรียกรดแลคติกสายพันธุ์ที่คัดเลือก และยีสต์ S. cerevisiae ในสภาวะการหมักที่ควบคุม อัตราส่วนของจุลินทรีย์ถูกปรับให้เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการสร้างสารสำคัญ ผลการทดลองพบว่า การหมักร่วมสามารถลดค่า pH ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการหมักด้วยยีสต์เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มขึ้นของกรดแลคติกเนื่องจากการใช้น้ำตาลของเชื้อLAB ซึ่งส่งผลต่อรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเบียร์เปรี้ยว