การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อระบบเกษตรกรรมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้ผลผลิตพืชลดลงและส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร ถั่วหรั่ง (Bambara groundnut) เป็นพืชที่มีศักยภาพในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และสามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อผลผลิตถั่วหรั่งในประเทศไทย โดยใช้แบบจำลอง DSSAT (Decision Support System for Agrotechnology Transfer) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการคาดการณ์การเจริญเติบโตของพืชภายใต้สภาพแวดล้อมที่หลากหลาย การศึกษานี้ใช้ข้อมูลภูมิอากาศ องค์ประกอบของดิน และข้อมูลพันธุกรรมของถั่วหรั่ง เพื่อจำลองและวิเคราะห์แนวโน้มของผลผลิตภายใต้สถานการณ์สภาพอากาศในอนาคต โดยเลือกพื้นที่ศึกษา 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดสงขลา ลำปาง ยโสธร และสระบุรี แบบจำลอง CSM-CROPGRO-Bambara groundnut ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินอิทธิพลของอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วหรั่ง ผลการศึกษาคาดว่าจะช่วยให้เกษตรกรและนักวิจัยมีข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประกอบการวางแผนเพาะปลูกและการบริหารจัดการผลผลิตถั่วหรั่งให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการเพาะปลูกพืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อระบบเกษตรกรรมทั่วโลก รวมถึงการเพาะปลูกพืชอาหาร ถั่วหรั่ง (Bambara groundnut) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีความสามารถทนแล้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และให้คุณค่าทางโภชนาการสูง จึงมีศักยภาพในการเสริมความมั่นคงทางอาหารของประเทศ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และความแปรปรวนของสภาพอากาศ อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วหรั่ง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในระบบการเกษตร งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อผลผลิตถั่วหรั่งในประเทศไทย โดยใช้แบบจำลอง DSSAT (Decision Support System for Agrotechnology Transfer) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยจำลองสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการเจริญเติบโตของพืชภายใต้สภาวะต่างๆ การศึกษานี้จะช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มผลผลิตของถั่วหรั่งในอนาคต และนำไปใช้ในการวางแผนการเพาะปลูก รวมถึงพัฒนากลยุทธ์ในการปรับตัวของเกษตรกรให้สามารถรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
การวิจัยนี้ยืนยันถึงศักยภาพของเส้นใยไผ่ตงในฐานะวัตถุดิบที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรม สิ่งทอ โดยแสดงถึงคุณสมบัติเด่นที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการใช้งานและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งชี้ให้เห็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืนและตอบสนองความต้องการในตลาดที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยผสมผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ากับนวัตกรรมวัสดุ การวิจัยครอบคลุมการวิเคราะห์คุณสมบัติเส้นใย การพัฒนากระบวนการผลิต และการออกแบบผลิตภัณฑ์ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาคุณสมบัติเส้นใยไผ่ตงสู่การผลิต 2)เพื่อศึกษาปัจจัยในการออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอเพื่อสิ่งแวดล้อมจากเส้นใยไผ่ตง 3)เพื่อคาดการณ์อนาคตภาพในการออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอเพื่อสิ่งแวดล้อมจากเส้นใยไผ่ตง ผลการวิจัยพบว่า ไผ่ตงอายุ 60 วันมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการแยกเส้นใย โดยมีขนาดเส้นใยเฉลี่ย 5.32 μm ซึ่งเล็กกว่าเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่น ส่งผลให้มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นและระบายอากาศได้ดี เมื่อนำมาปั่นผสมกับเส้นใยพอลิเอสเตอร์รีไซเคิลในสัดส่วน 30:70 จะได้เส้นด้ายที่มีความแข็งแรงและผิวสัมผัสที่มีเอกลักษณ์ แม้ว่าคุณสมบัติการต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus จะอยู่ในระดับต่ำ แต่เส้นใยมีความขาวสะอาดและอ่อนนุ่ม และจากการวิเคราะห์ปัจจัยในการออกแบบผลิตภัณฑ์พบองค์ประกอบสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ วัสดุท้องถิ่น (Local Materials) ผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Products) สุขภาพ (Healthy) และความยั่งยืน (Sustainability) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อต้นแบบผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมาก โดยสามารถอธิบายความพึงพอใจได้ร้อยละ 84.7 ทั้งนี้ กระบวนการผลิตที่พัฒนาขึ้นช่วยลดการใช้สารเคมีและของเสียอันตราย อีกทั้งการใช้ไผ่ตงซึ่งเป็นพืชโตเร็วยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาชีพในชุมชนชนของประเทศไทย ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาเส้นใยไผ่ตงผสมเส้นใยพอลิเอสเตอร์รีไซเคิลสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในด้านสุขภาพ การใช้วัสดุท้องถิ่น และการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สีเขียว อีกทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต

คณะวิทยาศาสตร์
EcoGrow Pellets คือ เม็ดดินปลูกพืชความพรุนสูง ที่ผลิตจาก ตะกอนดินอุตสาหกรรมเซรามิกส์ ผสมกับกระดูกไก่บดเพื่อเสริมแคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญ ให้พืชเติบโตแข็งแรง เหมาะสำหรับการปลูกพืชทุกชนิด โดยเฉพาะพืชที่ต้องการโครงสร้างดินโปร่ง ระบายน้ำและอากาศดี EcoGrow Pellets เป็นนวัตกรรมเม็ดดินเผาที่ออกแบบมาเพื่อให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยโครงสร้าง ที่มีความพรุนสูง ทำให้สามารถระบายน้ำและอากาศได้ดี ลดปัญหาดินแน่นหรือการขังน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของรากเน่าและการเจริญเติบโตที่ชะงักงัน นอกจากนี้ เม็ดดินยังอุดมไปด้วย แคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญจากกระดูกไก่บด ซึ่งช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพืชและเพิ่มความแข็งแรงของระบบราก ทำให้พืชสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ ผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจากตะกอนดินอุตสาหกรรมเซรามิกส์รีไซเคิล 100% ตามแนวทาง Zero Waste และ BCG Economy Model เพื่อลดของเสียและเพิ่มมูลค่าสิ่งเหลือใช้ ให้กลายเป็น วัสดุปลูกที่มีคุณค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับทั้งพืชผัก ไม้ดอก และพืชกระถาง ใช้งานง่าย สะอาด และปลอดภัย ช่วยให้การทำเกษตรเป็นเรื่องยั่งยืนมากขึ้นทั้งในแง่ของผลผลิตและสิ่งแวดล้อม

คณะเทคโนโลยีการเกษตร
การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสูตรสารเคลือบที่เหมาะสมสำหรับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง โดยใช้กัมอารบิก (GA) 10% ร่วมกับสารสกัดจากเปลือกมังคุด (MPE) ในความเข้มข้นต่างๆ (1%, 3%, 5%) เปรียบเทียบกับชุดควบคุม (น้ำกลั่น) ภายใต้การเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง 14 วัน ผลการทดลองพบว่า การเคลือบผิวด้วย GA 10% ร่วมกับ MPE สามารถลดการเปลี่ยนแปลงสีของเนื้อผล ลดการเกิดโรค และคงความแน่นเนื้อได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของ TSS, TA, วิตามินซี, แคโรทีนอยด์ และฟีนอลิก โดยเฉพาะสูตรที่ใช้ GA 10% + MPE 1% มีประสิทธิภาพสูงสุดในการยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มความเงางามของผลมะม่วง