KMITL Innovation Expo 2025 Logo

สับปะรดแปรรูป

รายละเอียด

การศึกษาเรื่องสับปะรดแปรรูป มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลดปัญหาสับปะรดที่กำลังจะเป็นของเสียจากปัญหา Climate change และเพื่อหากรรมวิธีที่มีความเหมาะสมกับการแปรรูปของสับปะรดสายพันธุ์ โดยผู้จัดทำเลือกใช้กรรมวิธีการอบแห้ง หรือ Dehydration ในการแปรรูป เนื่องจากมีความเหมาะสมด้านคุณสมบัติของพันธุ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สุด และลดของเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดคุณค่ากับผลผลิตมากที่สุด การศึกษานี้ทำขึ้นเพื่อพัฒนาการแปรรูปสับปะรดสายพันธุ์ใหม่ นำหลักการการแปรรูปหลากหลายรูปแบบมาปรับให้เข้ากับสับปะรดสายพันธุ์นี้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้มากขึ้น และลดปัญหาของเสียที่กำลังจะเกิดได้จำนวนมาก อีกทั้งยังมีโอกาสในการทำตลาดในอนาคตอีกด้วย

วัตถุประสงค์

เนื่องด้วยปัจจุบันสภาพแวดล้อมบนโลกมีผลกระทบหลายๆอย่าง เช่น สภาวะโลกร้อน ซึ่งสร้างผลกระทบกับผลไม้เกือบทุกชนิดบนโลก หนึ่งในนั้นคือ สับปะรด แม้สับปะรดจะเป็นพืชที่ปลูกได้ดีในสภาพอากาศแห้งแล้ง แต่เมื่อออกผล สภาพแวดล้อมก็ส่งผลต่อผลผลิตของสับปะรดเช่นกัน ทำให้ผลของสับปะรดเกิดความเสียหาย ไม่สามารถนำไปทำการค้าขายได้ทั้งหมด หรือรับประทานสดได้ สับปะรดเป็นผลไม้ที่เหมาะทั้งการรับประทานสด และแปรรูป ซึ่งการรับประทานสด จะโดดเด่นในด้านที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีสารบรอมีเลนที่สำคัญในการช่วยเหลือระบบย่อยอาหาร และสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆได้ แต่เมื่อเกิดปัญหาสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้สับปะรดผลสดเกิดความเสียหายอย่างรอบด้านไม่ว่าจะเป็น ตาแตก หรือผิวสับปะรดไหม้ ทำให้การรับประทานผลสดไม่เหมาะสมเท่าที่ควร ในหลาย ๆ แห่งจึงมีการปรับตัวเมื่อทราบสถานการณ์ดังกล่าว จึงหาทางแก้ไขด้วยการนำสับปะรดมาแปรรูปเป็นลักษณะต่าง ๆ มากมายเพื่อให้เกิดคุณค่ากับผลผลิต และลดของเสียที่เกิดขึ้น สับปะรดพันธุ์จินจ้วน หรือใต้หวันหมายเลข 17 เป็นสับปะรดที่สามารถปลูกได้หลายแห่งบนโลกและในไทย ซึ่งมักเกิดปัญหาตาแตก ด้วยเนื้อที่แน่น และจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในไทยอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นของเสียทิ้งเปล่า สับปะรดพันธุ์ดังกล่าวมีคุณสมบัติที่เหมาะสมทั้งรับประทานสด เพราะมีลักษณะสีเหลืองทอง เนื้อแน่น มีความหวานอยู่ที่ระดับ 14 บริกซ์ และการแปรรูป เนื่องจากมีคุณสมบัติที่มีความเหมาะสม เช่น มีเส้นใยที่เล็ก และนุ่ม ทำให้รับประทานง่าย ไม่เหนียว ทำให้การแปรรูปจึงมีความเหมาะสมตามคุณสมบัติ แต่ก็สามารถใช้ได้ในบางกรรมวิธีเท่านั้น จากที่กล่าวมาข้างต้นผู้จัดทำจึงมีความสนใจในการทำสับปะรดแปรรูปจากของเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยการนำผลที่ใกล้พร้อมการเก็บเกี่ยวมาแปรรูป เพื่อลดปริมาณของเสีย จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว และหากรรมวิธีในการแปรรูปที่มีความเหมาะสม เพื่อยืดอายุ สร้างคุณค่า และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว

นวัตกรรมอื่น ๆ

การกำจัดไบโอฟิล์มในช่องปากที่เกิดจากเชื้อโรคปริทันต์อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ DNase I และเปปไทด์ต้านจุลชีพมนุษย์ที่ถูกดัดแปลง D-LL-31: ศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก

คณะทันตแพทยศาสตร์

การกำจัดไบโอฟิล์มในช่องปากที่เกิดจากเชื้อโรคปริทันต์อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ DNase I และเปปไทด์ต้านจุลชีพมนุษย์ที่ถูกดัดแปลง D-LL-31: ศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก

Aggregatibacter actinomycetemcomitans เป็นเชื้อก่อโรคหลักของโรคปริทันต์ โดยสามารถทำลายเอ็นยึดปริทันต์และกระดูกเบ้าฟันผ่านการสร้างไบโอฟิล์ม D-LL-31 ซึ่งเป็นเปปไทด์ต้านจุลชีพที่ถูกดัดแปลงทางวิศวกรรม แสดงศักยภาพที่สูงในการกำจัดเชื้อที่ฝังตัวในไบโอฟิล์มได้ดีกว่าวิธีรักษาแบบดั้งเดิม ขณะที่ DNase I ช่วยเสริมประสิทธิภาพโดยการสลายเมทริกซ์ของไบโอฟิล์ม โดยวัตถุประสงศ์ของงานวิจัยนี้ต้องศึกษาผลของ D-LL-31 ร่วมกับ DNase I ต่อไบโอฟิล์มของ A. actinomycetemcomitans ผลการทอลองพบว่า D-LL-31 สามารถกำจัดไบโอฟิล์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อใช้ร่วมกับ DNase I จะช่วยเพิ่มการทำลายไบโอฟิล์มได้มากขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์เยื่อบุเหงือก ดังนั้นการใช้ D-LL-31 ร่วมกับ DNase I มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยรักษาสุขภาพช่องปากและลดความเสี่ยงของโรคปริทันต์

การศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพเตาเผาและคุณภาพถ่านจากกระบวนการผลิตถ่านไม้ไผ่ในเตาเผาต้นแบบเปรียบเทียบกับเตาเผาในอุตสาหกรรม

คณะวิศวกรรมศาสตร์

การศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพเตาเผาและคุณภาพถ่านจากกระบวนการผลิตถ่านไม้ไผ่ในเตาเผาต้นแบบเปรียบเทียบกับเตาเผาในอุตสาหกรรม

ไผ่เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าผ่านการแปรรูปเป็นถ่านชีวมวล ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงและมีประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของถ่านไม้ไผ่ โดยเปรียบเทียบการผลิตถ่านจากเตาเผาไม้ไผ่ต้นแบบกับเตาเผาอุตสาหกรรม วิเคราะห์ผลผลิตที่ได้และประสิทธิภาพเชิงความร้อนของแต่ละสภาวะการเผา พบว่าการทดสอบเตาเผาต้นแบบที่สภาวะที่ 3 อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส ระยะเวลา 8 ชั่วโมง ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเตาเผาอุตสาหกรรม โดยมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนร้อยละ 37.05 และ 41.29 ตามลำดับ ถ่านชีวมวลที่ได้มีคุณภาพสูง โดยมีปริมาณคาร์บอนอินทรีย์ร้อยละ 73.92 และ 75.24 โดยน้ำหนักตามลำดับ และมีอัตราส่วนโมลของไฮโดรเจนต่อคาร์บอนอินทรีย์ 0.51 และ 0.29 ตามลำดับ ซึ่งจัดอยู่ในมาตรฐานถ่านชีวมวลระดับสูงสุด (IBI Standard) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ พบว่าต้นทุนการผลิตยังค่อนข้างสูง จึงเหมาะสมกับผู้ที่มีชีวมวลไม้ไผ่เหลือใช้จากกิจกรรมอื่น

ก๊าซชีวภาพและชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

คณะวิทยาศาสตร์

ก๊าซชีวภาพและชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

-