KMITL Expo 2026 LogoKMITL 66th Anniversary Logo

การปรับปรุงคุณภาพน้ำผิวดินด้วยวิธีการตกตะกอนโดยสารสกัดเมล็ดมะรุม เมล็ดกระเจี๊ยบแดง และเมล็ดมะขาม

รายละเอียด

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเมล็ดมะรุม เมล็ดกระเจี๊ยบแดง และเมล็ดมะขาม ในการเป็นสารช่วยตกตะกอนในแหล่งน้ำผิวดินเพื่อการปรับปรุงคุณภาพน้ำ สารสกัดจากเมล็ดมะรุม เมล็ดกระเจี๊ยบแดง และเมล็ดมะขาม เป็นสารตกตะกอนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นทางเลือกในการปรับปรุงคุณภาพของน้ำผิวดิน แหล่งน้ำผิวดินมีความขุ่นอยู่ในช่วง 14-24 NTU นำมาทำการตกตะกอนความขุ่นในน้ำด้วยวิธีการทดลองจาร์เทส (Jar test) โดยการใช้สารสกัดจากเมล็ดมะรุม เมล็ดกระเจี๊ยบแดง และเมล็ดมะขาม เป็นสารตกตะกอน (Coagulant) และ เป็นสารช่วยตกตะกอน (Coagulant aid) โดยวิธีการคือนำเมล็ดมะรุม เมล็ดกระเจี๊ยบแดง และเมล็ดมะขามมาบดให้ละเอียด จากนั้นสกัดด้วยสารละลายโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) 0.5 โมลาร์ และนำสารสกัดที่ได้มาใช้เป็นสารตกตะกอนเพื่อลดความขุ่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำ โดยแต่ละความเข้มข้นใช้ปริมาตรน้ำ 300 มิลลิลิตร ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าสารสกัดจากเมล็ดมะรุมที่ความเข้มข้น 2,000 มิลลิกรัมต่อลิตร มีประสิทธิภาพมากที่สุด และมีประสิทธิภาพในการลดความขุ่นประมาณ 73.19% โดยมีค่าใช้จ่าย 0.0309 บาทต่อน้ำ 300 มิลลิตร รองลงมาเป็นสารสกัดจากเมล็ดมะขามที่มีความเข้มข้น 4000 มิลลิกรัมต่อลิตร มีประสิทธิภาพในการลดความขุ่นประมาณ 56.75% โดยมีค่าใช้จ่าย 0.0933 บาทต่อน้ำ 300 มิลลิตร และเมล็ดกระเจี๊ยบแดงที่มีความเข้มข้น 6000 มิลลิกรัมต่อลิตร มีประสิทธิภาพในการลดความขุ่นประมาณ 32.67% โดยมีค่าใช้จ่าย 0.0567 บาทต่อน้ำ 300 มิลลิตร

วัตถุประสงค์

น้ำเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ใช้สำหรับการอุปโภคบริโภค ใช้ในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและภาคอื่น ๆ โดยน้ำจืดในธรรมชาติสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ น้ำผิวดิน (Surface Water) และน้ำใต้ดิน (Ground Water) โดยลักษณะสำคัญของน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน คือ น้ำผิวดินจะมีความขุ่นและมีปริมาณแร่ธาตุที่เจือปนอยู่น้อย ในขณะที่น้ำใต้ดินจะมีความใสกว่าและมีแร่ธาตุเจือปนอยู่มาก น้ำผิวดินเป็นแหล่งน้ำที่นำมาใช้ประโยชน์กันมากเนื่องจากมีปริมาณน้ำค่อนข้างมากเพียงพอต่อความต้องการและไม่ต้องมีการขุดเจาะผ่านชั้นหินชั้นดินที่ยากและราคาค่อนข้างสูง คุณภาพน้ำโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับลักษณะของดิน หินและบริเวณโดยรอบที่น้ำไหลผ่านส่วนมากจะมีคุณภาพทางกายภาพที่ไม่ดีมากนัก คือ มีความขุ่น กลิ่น สี รส น้ำที่มีความขุ่นมักจะพบสารแขวนลอยเป็นจำนวนมากทำให้ไม่เป็นผลดี น้ำที่มีความขุ่นมากจะส่งผลทำให้ต้นไม้หรือพืชผักไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีพอ ความขุ่นยังสามารถทำให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงทำให้อุณหภูมิของน้ำสูงกว่าปกติ ส่งผลต่อปริมาณการละลายของออกซิเจนในน้ำ ทำให้เป็นอันตรายต่อพืช ดังนั้นก่อนนำน้ำผิวดินมาใช้ประโยชน์ควรจะมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเพื่อกำจัดสิ่งเจือปนในน้ำให้เหลือน้อยที่สุดและผ่านมาตรฐานคุณภาพน้ำก่อนนำมาใช้ประโยชน์ ในปัจจุบันผักผลไม้ไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ที่ได้ออกสู่ตลาด ทำให้มีผู้คนนิยมรับประทานผักผลไม้เป็นจำนวนมาก แต่หลังจากรับประทานผักผลไม้นั้นเสร็จแล้วผู้คนนั้นจะทำการทิ้งเปลือกและเมล็ดของผักผลไม้ทำให้เกิดขยะจากเมล็ดผลไม้เป็นจำนวนมาก ซึ่งขยะจากเมล็ดผักผลไม้ที่ถูกทิ้งเป็นจำนวนมากนั้นไม่ส่งผลให้เกิดประโยชน์ใด ๆ และไม่มีมูลค่า ผู้วิจัยจึงมีความคิดที่จะนำเมล็ดผักผลไม้ที่เป็นขยะมาเพิ่มมูลค่าและทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนำเมล็ดผักผลไม้มาใช้ประโยชน์เป็นสารช่วยตกตะกอนในน้ำ จึงได้มีการนำผลไม้ที่หาง่ายในท้องถิ่น เช่น เมล็ดมะรุม เมล็ดกระเจี๊ยบแดงและเมล็ดมะขาม มาศึกษาประสิทธิภาพในการตกตะกอนความขุ่นและสีในน้ำเพื่อการปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น

นวัตกรรมอื่น ๆ

สมการฝุ่นพิษ

คณะวิทยาศาสตร์

สมการฝุ่นพิษ

ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพมหานคร โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับของ PM2.5 มากที่สุด โดยใช้ข้อมูลคุณภาพอากาศ สภาพอากาศ และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบว่าปัจจัยใด เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความเร็วลม หรือมลพิษจากแหล่งอื่น มีผลต่อความผันผวนของ PM2.5 ผลการศึกษานี้จะช่วยให้สามารถระบุปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับหน่วยงานภาครัฐ นักวิจัย และประชาชนทั่วไปในการวางแผนรับมือและลดผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ยังสามารถนำไปใช้สนับสนุนการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนในระยะยาว

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลาจากปลาหมอคางดำ

วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลาจากปลาหมอคางดำ

เนื่องจากมีการระบาดของปลาหมอคางดำ ทำให้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมของธรรมชาติ เพราะปลาหมอคางดำมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ปลาหมอคางดำมีจำนวนประชากรมากเกินไป ทำให้มีการแย่งชิงของอาหารและที่อยู่อาศัยของปลาพื้นถิ่น อีกทั้งพฤติกรรมการกินที่หลากหลายของปลาหมอคางดำอาจส่งผลให้เกิดการลดลงของสัตว์น้ำขนาดเล็กหรือพืชน้ำที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศอีกด้วย

การกำจัดไบโอฟิล์มในช่องปากที่เกิดจากเชื้อโรคปริทันต์อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ DNase I และเปปไทด์ต้านจุลชีพมนุษย์ที่ถูกดัดแปลง D-LL-31: ศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก

คณะทันตแพทยศาสตร์

การกำจัดไบโอฟิล์มในช่องปากที่เกิดจากเชื้อโรคปริทันต์อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ DNase I และเปปไทด์ต้านจุลชีพมนุษย์ที่ถูกดัดแปลง D-LL-31: ศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก

Aggregatibacter actinomycetemcomitans เป็นเชื้อก่อโรคหลักของโรคปริทันต์ โดยสามารถทำลายเอ็นยึดปริทันต์และกระดูกเบ้าฟันผ่านการสร้างไบโอฟิล์ม D-LL-31 ซึ่งเป็นเปปไทด์ต้านจุลชีพที่ถูกดัดแปลงทางวิศวกรรม แสดงศักยภาพที่สูงในการกำจัดเชื้อที่ฝังตัวในไบโอฟิล์มได้ดีกว่าวิธีรักษาแบบดั้งเดิม ขณะที่ DNase I ช่วยเสริมประสิทธิภาพโดยการสลายเมทริกซ์ของไบโอฟิล์ม โดยวัตถุประสงศ์ของงานวิจัยนี้ต้องศึกษาผลของ D-LL-31 ร่วมกับ DNase I ต่อไบโอฟิล์มของ A. actinomycetemcomitans ผลการทอลองพบว่า D-LL-31 สามารถกำจัดไบโอฟิล์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อใช้ร่วมกับ DNase I จะช่วยเพิ่มการทำลายไบโอฟิล์มได้มากขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์เยื่อบุเหงือก ดังนั้นการใช้ D-LL-31 ร่วมกับ DNase I มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยรักษาสุขภาพช่องปากและลดความเสี่ยงของโรคปริทันต์