การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของระดับความเค็มที่แตกต่างกันต่ออัตรารอดและการเจริญเติบโตของหอยเชอรี่สีทอง (Pomacea canaliculata) โดยทำการทดลองเลี้ยงในระบบน้ำที่มีระดับความเค็ม 0, 5, 10 และ 15 พีพีที แต่ละชุดการทดลองมี 4 ซ้ำ ใช้ระยะเวลาทดลอง 8 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าหอยเชอรี่สีทองที่เลี้ยงในน้ำที่มีความเค็ม 5-10 พีพีที มีอัตรารอดและการเจริญเติบโตไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เลี้ยงในน้ำจืด (0 พีพีที) ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองในระบบน้ำกร่อยและการเลี้ยงแบบผสมผสานร่วมกับสัตว์น้ำกร่อยชนิดอื่น
หอยเชอรี่สีทอง (Pomacea canaliculata) เป็นสัตว์น้ำจืดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีลักษณะเด่นด้านสีสันที่สวยงาม การเจริญเติบโตที่รวดเร็ว และมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงหอยชนิดนี้ในน้ำจืดอาจประสบปัญหาด้านคุณภาพเนื้อและรสชาติที่ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร รวมถึงความเสี่ยงจากการติดเชื้อปรสิตในแหล่งน้ำจืด การพัฒนาระบบการเลี้ยงในน้ำกร่อยอาจเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ เนื่องจากความเค็มของน้ำมีผลต่อคุณภาพเนื้อและรสชาติของสัตว์น้ำ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากปรสิตน้ำจืด นอกจากนี้ การศึกษาความสามารถในการปรับตัวของหอยเชอรี่สีทองต่อความเค็มยังเปิดโอกาสในการพัฒนาระบบการเลี้ยงแบบผสมผสานร่วมกับสัตว์น้ำกร่อยชนิดอื่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลของความเค็มต่อการเจริญเติบโตและอัตรารอดของหอยเชอรี่สีทอง การวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาความเป็นไปได้ในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองในน้ำกร่อยที่ระดับความเค็มต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาระบบการเลี้ยงรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน อันจะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าผลผลิตและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในอนาคต
คณะบริหารธุรกิจ
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้มุ่งศึกษารูปแบบ โมเดลธุรกิจยั่งยืน (Sustainable Business Model) สำหรับบรรจุภัณฑ์ทางเลือก โดยเน้นกรณีศึกษาของ กระดาษจากข้าวโพด ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถทดแทนบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบดั้งเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การวิจัยนี้วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติสามารถแข่งขันในตลาดได้ รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนเมื่อเปรียบเทียบกับบรรจุภัณฑ์จากพลาสติก นอกจากนี้ยังพิจารณาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในแง่ของ ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) และ ผลกระทบทางสังคม (Social Impact) งานวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการที่ใช้วัสดุทางเลือกในการผลิตบรรจุภัณฑ์ การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านแบบสอบถาม ผลการวิจัยคาดว่าจะช่วยให้เข้าใจถึง ศักยภาพทางธุรกิจของบรรจุภัณฑ์จากข้าวโพด แนวทางในการขยายตลาด รวมถึงกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และผลลัพธ์ของงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับ ผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาธุรกิจสีเขียว รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้แพร่หลายในตลาด
คณะวิศวกรรมศาสตร์
ระบบไฮโดรโปนิกส์แบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับใช้ในครัวเรือนได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีพื้นที่น้อยแต่ต้องการปลูกผักสลัดเองในบ้านอย่างสะดวกและง่ายดาย ระบบนี้ออกแบบมาให้สามารถควบคุมการให้ธาตุอาหารโดยอัตโนมัติผ่านการตั้งค่าสภาพการนำไฟฟ้า (EC) และ pH ที่เหมาะสมสำหรับผักสลัดที่ต้องการปลูก มีแสงประดิษฐ์ร่วมเพื่อให้สามารถปลูกในพื้นที่จำกัดที่อาจมีแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอได้ และยังเป็นระบบที่มีต้นทุนต่ำกว่าที่มีจำหน่ายในท้องตลาด จากการตรวจสอบระบบการควบคุมค่า EC และ pH พบว่าระบบปลูกนี้สามารถทำงานได้ดีและควบคุมการให้ธาตุอาหารจนถึงค่า EC และ pH ที่ตั้งไว้ได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที และรักษาค่าที่ตั้งไว้ได้ตลอดการเปิดทำงานของระบบ ในการทดลองปลูกผักสลัดกรีนโอ๊คโดยจำลองการตั้งระบบปลูกบริเวณระเบียง พบว่าต้นกรีนโอ๊คมีการเจริญเติบโตด้วยอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการปลูกตามปกติ โดยเฉพาะเมื่อใช้แสงประดิษฐ์ร่วม
คณะอุตสาหกรรมอาหาร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเทคนิคการห่อหุ้มร่วม (Co-encapsulation) ของวิตามินซีและโคเอนไซม์คิวเท็นภายในลิโปโซม เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพการกักเก็บของสารสำคัญ รวมถึงศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและการปลดปล่อยในสภาวะจำลองระบบทางเดินอาหาร โดยทำการเตรียมลิโปโซมด้วยวิธี High-Speed Homogenization Method และวิเคราะห์คุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ขนาดอนุภาค ศักย์ไฟฟ้า การกักเก็บสารสำคัญ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระผ่าน DPPH, ABTS และ FRAP assay ผลการศึกษาพบว่าการห่อหุ้มร่วมสามารถเพิ่มความเสถียรของวิตามินซีและโคเอนไซม์คิวเท็นได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการห่อหุ้มเดี่ยว โดยมีค่าประสิทธิภาพการกักเก็บสูง และสามารถรักษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี นอกจากนี้ ลิโปโซมที่เตรียมขึ้นยังแสดงประสิทธิภาพการปลดปล่อยที่เหมาะสมในสภาวะจำลองระบบทางเดินอาหาร แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคนิค Co-encapsulation ในการเพิ่มประสิทธิภาพของสารอาหารเชิงหน้าที่ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพได้