KMITL Expo 2026 LogoKMITL 66th Anniversary Logo

การกำจัดไบโอฟิล์มในช่องปากที่เกิดจากเชื้อโรคปริทันต์อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ DNase I และเปปไทด์ต้านจุลชีพมนุษย์ที่ถูกดัดแปลง D-LL-31: ศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก

รายละเอียด

Aggregatibacter actinomycetemcomitans เป็นเชื้อก่อโรคหลักของโรคปริทันต์ โดยสามารถทำลายเอ็นยึดปริทันต์และกระดูกเบ้าฟันผ่านการสร้างไบโอฟิล์ม D-LL-31 ซึ่งเป็นเปปไทด์ต้านจุลชีพที่ถูกดัดแปลงทางวิศวกรรม แสดงศักยภาพที่สูงในการกำจัดเชื้อที่ฝังตัวในไบโอฟิล์มได้ดีกว่าวิธีรักษาแบบดั้งเดิม ขณะที่ DNase I ช่วยเสริมประสิทธิภาพโดยการสลายเมทริกซ์ของไบโอฟิล์ม โดยวัตถุประสงศ์ของงานวิจัยนี้ต้องศึกษาผลของ D-LL-31 ร่วมกับ DNase I ต่อไบโอฟิล์มของ A. actinomycetemcomitans ผลการทอลองพบว่า D-LL-31 สามารถกำจัดไบโอฟิล์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อใช้ร่วมกับ DNase I จะช่วยเพิ่มการทำลายไบโอฟิล์มได้มากขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์เยื่อบุเหงือก ดังนั้นการใช้ D-LL-31 ร่วมกับ DNase I มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยรักษาสุขภาพช่องปากและลดความเสี่ยงของโรคปริทันต์

วัตถุประสงค์

โรคปริทันต์เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อย โดยมี Aggregatibacter actinomycetemcomitans (Aa) เป็นหนึ่งในเชื้อก่อโรคสำคัญ เชื้อชนิดนี้สามารถสร้างไบโอฟิล์ม ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ช่วยให้เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพและหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทั่วไปไม่ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาแนวทางใหม่ในการกำจัดไบโอฟิล์มจึงเป็นสิ่งจำเป็น งานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาประสิทธิภาพของ D-LL-31 ซึ่งเป็นเปปไทด์ต้านจุลชีพที่ถูกแปลงทางวิศวกรรม เพื่อทำลายเชื้อที่อยู่ในไบโอฟิล์ม และการใช้ DNase I เพื่อสลายโครงสร้างเมทริกซ์ของไบโอฟิล์มร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนา น้ำยาบ้วนปาก ที่ช่วยลดเชื้อก่อโรคในช่องปากและป้องกันโรคปริทันต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นวัตกรรมอื่น ๆ

ขนมนูกัต

วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

ขนมนูกัต

ขนมทีี่ทำจากแป้งและมีส่วนผสมทำให้มีความเหนียวคล้ายกับหมากฝรั่ง

ระบบไฮโดรโปนิกส์แบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับใช้ในครัวเรือน

คณะวิศวกรรมศาสตร์

ระบบไฮโดรโปนิกส์แบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับใช้ในครัวเรือน

ระบบไฮโดรโปนิกส์แบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับใช้ในครัวเรือนได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีพื้นที่น้อยแต่ต้องการปลูกผักสลัดเองในบ้านอย่างสะดวกและง่ายดาย ระบบนี้ออกแบบมาให้สามารถควบคุมการให้ธาตุอาหารโดยอัตโนมัติผ่านการตั้งค่าสภาพการนำไฟฟ้า (EC) และ pH ที่เหมาะสมสำหรับผักสลัดที่ต้องการปลูก มีแสงประดิษฐ์ร่วมเพื่อให้สามารถปลูกในพื้นที่จำกัดที่อาจมีแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอได้ และยังเป็นระบบที่มีต้นทุนต่ำกว่าที่มีจำหน่ายในท้องตลาด จากการตรวจสอบระบบการควบคุมค่า EC และ pH พบว่าระบบปลูกนี้สามารถทำงานได้ดีและควบคุมการให้ธาตุอาหารจนถึงค่า EC และ pH ที่ตั้งไว้ได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที และรักษาค่าที่ตั้งไว้ได้ตลอดการเปิดทำงานของระบบ ในการทดลองปลูกผักสลัดกรีนโอ๊คโดยจำลองการตั้งระบบปลูกบริเวณระเบียง พบว่าต้นกรีนโอ๊คมีการเจริญเติบโตด้วยอัตราการเติบโตที่สูงกว่าการปลูกตามปกติ โดยเฉพาะเมื่อใช้แสงประดิษฐ์ร่วม

ต้นทุน ผลตอบแทนการปลูกข้าวโดยใช้สารเคมีและการปลูกข้าวโดยใช้สารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีของเกษตรกร ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

คณะเทคโนโลยีการเกษตร

ต้นทุน ผลตอบแทนการปลูกข้าวโดยใช้สารเคมีและการปลูกข้าวโดยใช้สารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีของเกษตรกร ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

จากการปฏิบัติงานสหกิจศึกษาครั้งนี้ ณ สำนักงานเกษตรอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ได้ศึกษาเรื่อง ต้นทุน ผลตอบแทนการปลูกข้าวโดยใช้สารเคมีและการปลูกข้าวโดยใช้สารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีของเกษตรกร ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาต้นทุน ผลตอบแทนการปลูกข้าวโดยใช้สารเคมีและการปลูกข้าวโดยใช้ชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีของเกษตรกร ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 2) เพื่อศึกษาปัญหาการใช้สารชีวภัณฑ์ในการปลูกข้าวของเกษตรกร ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการผลการศึกษาพบว่าต้นทุนการผลิตข้าวนาปีโดยใช้สารเคมีและสารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีปีเพาะปลูก 2567/68 แปลงที่ใช้สารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมี มีต้นทุนการผลิตรวมทั้งหมด 5,099.50 บาทต่อไร่ ประกอบด้วย ต้นทุนผันแปร 4,432.50 บาทต่อไร่ ต้นทุนคงที่ 667.00 บาทต่อไร่ แปลงที่ใช้สารเคมี มีต้นทุนการผลิตรวมทั้งหมด 5,129.00 บาทต่อไร่ ประกอบด้วย ต้นทุนผันแปร 4,390.00 บาทต่อไร่ ต้นทุนคงที่ 739.00 บาทต่อไร่ ผลต่างของต้นทุนการปลูกข้าวนาปีระหว่างแปลงที่ใช้สารเคมีและแปลงที่ใช้สารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีเท่ากับ 114.50 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนการผลิตข้าวนาปี ปีเพาะปลูก 2567/68 ของแปลงที่ใช้สาร ชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมี ประกอบด้วย ปริมาณผลผลิต 1,000.00 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเฉลี่ย 8,500.00 บาทต่อไร่ เกษตรกรมีรายได้ 8,585.00 บาทต่อไร่ และมีกำไร 3,485.50 บาทต่อไร่ แปลงที่ ใช้สารเคมี ประกอบด้วย ปริมาณผลผลิต 1,000.00 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเฉลี่ย 8,500.00 บาทต่อไร่ เกษตรกรมีรายได้ 8,500 บาทต่อไร่ และมีกำไร 3,371.00 บาทต่อไร่ ผลต่างของรายได้รวมทั้งหมดในการปลูกข้าวนาปีระหว่างเกษตรกรที่ใช้สารเคมีและเกษตรกรที่ใช้สารชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีเท่ากับ 114.50 บาทต่อไร่ ด้านปัญหาในการจัดซื้อ/จัดหาสารชีวภัณฑ์ สารชีวภัณฑ์หาซื้อยากบางพื้นที่มีแหล่งจําหน่ายน้อยหรือไม่มีเลย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สนับสนุนสารชีวภัณฑ์ให้เกษตรกรอย่างต่อเนื่องมีระดับปัญหามากที่สุด ด้านปัญหาการใช้สารชีวภัณฑ์ เมื่อผสมเชื้อสดกับส่วนผสมแล้วต้องใช้ให้หมดไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ เนื่องจากจะทำให้เสื่อมประสิทธิภาพลงมีระดับปัญหาที่มากที่สุด