ฟิล์มละลายในช่องปาก (Oral Disintegrating Film: ODF) สามารถละลายในช่องปากได้ทันทีเมื่อสัมผัสกับน้ำลายโดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำ งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาผลของความเข้มข้นของซอร์บิทอลที่มีผลต่อคุณสมบัติของฟิล์มละลายในช่องปากที่มีสารสกัดจากพริก (Capsicum Oleoresin) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ส่งผลให้การกลืนยาเป็นไปได้ง่ายขึ้น ฟิล์มดังกล่าวได้รับการพัฒนาเพื่อลดปัญหาการกลืนยา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภาวะกลืนลำบาก การเตรียมฟิล์มประกอบด้วยการใช้ซอร์บิทอลในปริมาณที่แตกต่างกัน ซึ่งจะถูกทดสอบในแง่ของคุณสมบัติทางรีโอโลยี คุณสมบัติทางกล ปริมาณความชื้น ปริมาณน้ำอิสระ ความหนา เวลาในการสลายตัว มุมสัมผัส ค่าสี และฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระ จากผลการศึกษาพบว่า ซอร์บิทอลมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเปราะบางของฟิล์ม นอกจากนี้ ความเข้มข้นของซอร์บิทอลที่เหมาะสมช่วยรักษาความคงตัวของสารสกัดจากพริกและเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ซึ่งช่วยให้การกลืนสะดวกขึ้นและลดความฝืดในช่องปาก ฟิล์มที่พัฒนาขึ้นในงานวิจัยนี้แสดงถึงศักยภาพในการเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะกลืนลำบาก
การพัฒนาฟิล์มละลายในช่องปากเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็น วิธีการที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการนำส่งสารเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยา เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภาวะกลืนลำบาก ซึ่งภาวะนี้พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการรับการรักษาหรือการบริโภคสารเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ฟิล์มละลายในช่องปากจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถสลายตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับน้ำลาย และทำให้สารที่บรรจุในฟิล์มถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วผ่านเยื่อบุในช่องปาก นอกจากนี้ การใช้ฟิล์มชนิดนี้ยังช่วยลดภาระการย่อยในกระเพาะอาหาร ลดการทำลายสารออกฤทธิ์จากกรดในกระเพาะ จึงส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ฟิล์มละลายในช่องปากยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการบริโภคยาหรือสารออกฤทธิ์ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งผู้คนให้ความสำคัญกับความสะดวก ปลอดภัย และการใช้งานที่ง่ายดาย ฟิล์มชนิดนี้จึงกลายเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการลดความยุ่งยาก และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการใช้ยารูปแบบเดิม เช่น ผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาในการกลืนยา กลุ่มเด็กเล็ก หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาทางกล้ามเนื้อหรือระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการกลืน หนึ่งในสารสกัดที่น่าสนใจสำหรับการนำมาใช้ในฟิล์มคือ สารสกัดจากพริก (Capsicum Oleoresin) ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ และยังสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารสกัดนี้ได้รับการยอมรับในการนำมาใช้ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หรือแม้กระทั่งการบรรเทาอาการปวดจากโรคเรื้อรัง การนำสารสกัดจากพริกมาใช้ในฟิล์มละลายในช่องปากจึงมีความสำคัญ เนื่องจากการกระตุ้นการผลิตน้ำลายที่เพิ่มขึ้นช่วยให้การกลืนอาหารหรือยาทำได้ง่ายขึ้น ลดความฝืดและเสี่ยงต่อการสำลัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะกลืนลำบากอย่างมากอย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่สำคัญของสารสกัดจากพริกคือ ความไวต่อความชื้นและอุณหภูมิ ซึ่งอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของสารลดลงในระหว่างกระบวนการผลิตและการเก็บรักษา ดังนั้นการพัฒนาฟิล์มที่สามารถรักษาความคงตัวของสารสกัดจากพริกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โครงงานนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณสมบัติของฟิล์มผ่านการใช้ซอร์บิทอลเป็นสารเพิ่มความยืดหยุ่น (Plasticizer) ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ฟิล์มละลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับน้ำลาย แต่ยังช่วยเพิ่มความทนทานของฟิล์มและช่วยรักษาประสิทธิภาพของสารสกัดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ในด้านเชิงพาณิชย์ ฟิล์มละลายในช่องปากที่บรรจุสารสกัดจากพริกยังมีศักยภาพในการเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการปวดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการออกฤทธิ์ของสารบรรเทาอาการปวดถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในตลาด นอกจากนั้นฟิล์มละลายในช่องปากยังสามารถขยายการใช้งานไปสู่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเสริมอาหารที่ต้องการการดูดซึมผ่านเยื่อบุในช่องปากที่รวดเร็วและมีความสะดวก ด้วยเหตุนี้การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการพัฒนาฟิล์มละลายในช่องปากที่มีสมบัติทางกายภาพและเชิงกลที่ดีขึ้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบรรเทาอาการปวด หรือผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพที่สามารถดูดซึมผ่านช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
วิทยาลัยการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับม้าให้ตอบสนองความต้องการด้านโภชนาการและสุขภาพของม้า โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวโอ๊ต แป้งสาลี แป้งข้าวโพด และกากน้ำตาลออร์แกนิก ซึ่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับม้า อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงของอาการเสียดท้อง และให้พลังงานที่เหมาะสม ขนมได้รับการออกแบบให้มีรูปร่างที่เหมาะสมกับการกัดเคี้ยวของม้า และเพิ่มกลิ่นผลไม้ไทย เช่น สับปะรดและมะม่วง เพื่อดึงดูดความสนใจและช่วยให้ม้าบริโภคได้ง่ายขึ้น โดยมีกระบวนการผลิตที่เน้นความสะอาดและความปลอดภัยโดยเลือกใช้วัตถุดิบออร์แกนิกและปราศจากสารกันเสียที่เป็นอันตรายต่อม้า บรรจุภัณฑ์ถูกออกแบบให้สามารถรักษาคุณภาพของขนมได้นาน ป้องกันความชื้น และสะดวกต่อการใช้งานของผู้เลี้ยง นอกจากนี้ ขนมยังสามารถใช้เป็นรางวัลระหว่างการฝึกม้า ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างม้ากับผู้เลี้ยง และลดความเครียดของม้าได้ ผลิตภัณฑ์นี้จึงเป็นทั้งขนมเพื่อสุขภาพและเครื่องมือช่วยฝึกที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับม้าที่ต้องการอาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้เลี้ยงม้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพม้า
คณะวิศวกรรมศาสตร์
โครงการสหกิจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต Hydrogen Manufacturing Unit 2 (HMU-2) และ Pressure Swing Adsorption 3 (PSA-3) โดยการใช้แบบจำลองกระบวนการ AVEVA Pro/II และ แบบจำลอง Machine Learning เพื่อจำลองกระบวนการ ผลการศึกษาพบว่า แบบจำลอง AVEVA Pro/II สามารถทำนายผลลัพธ์ โดยมีความคลาดเคลื่อนอยู่ในช่วง 0–35% มีความคลาดเคลื่อนของอัตราการไหลของไฮโดรเจนจากหน่วย PSA สูงถึง 12% เกินเกณฑ์ 10% ที่บริษัทยอมรับได้ จึงได้พัฒนาแบบจำลอง Machine Learning โดยการปรับไฮเปอร์พารามิเตอร์ของอัลกอริทึมแบบ Random Forest ผลการศึกษาพบว่าแบบจำลองมีความแม่นยำสูง มีค่า Mean Squared Error (MSE) มีค่า 8.48 และ 0.18 สำหรับข้อมูลกระบวนการ และ ข้อมูลห้องปฏิบัติการ และ R-squared มีค่า 0.98 และ 0.88 สำหรับข้อมูลชุดเดียวกัน และพบว่าสามารถทำนายผลลัพธ์ได้แม่นยำกว่าแบบจำลอง AVEVA Pro/II ในทุกๆ ตัวแปร สามารถลดความคลาดเคลื่อนของอัตราการไหลของไฮโดรเจนจากหน่วย PSA เหลือเพียง 4.75 และ 1.35% สำหรับอัตราการผลิต 180 และ 220 ตันต่อวันตามลำดับ จึงได้นำแบบจำลองมาทำการ Optimization ตัวแปรกระบวนการ พบว่าสามารถให้ข้อแนะนำในการปรับค่าตัวแปรต่างๆ ได้ โดยสามารถเพิ่มผลผลิตไฮโดรเจนได้ 7.8 ตันต่อวัน และสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้น 850,966.23 บาทต่อปี
คณะบริหารธุรกิจ
BrushXchange เป็นแบรนด์แปรงสีฟันที่มุ่งเน้นการลดปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทย ผ่านการนำเสนอแปรงสีฟันที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล พร้อมหัวแปรงที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ เพื่อช่วยลดการสร้างขยะจากแปรงสีฟันแบบดั้งเดิม การออกแบบที่ทันสมัยและใช้งานง่าย เน้นความทนทาน ความสะดวกสบาย และความคุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แบรนด์มีเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดูแลช่องปาก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ การตลาดเน้นการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Instagram และ TikTok รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรที่สนับสนุนแนวคิดความยั่งยืน และการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก เช่น Lotus’s และ Tops BrushXchange ยังเน้นการสร้างภาพลักษณ์ด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยบรรจุภัณฑ์กระดาษรีไซเคิลและการจัดกิจกรรมรณรงค์ความยั่งยืน เป้าหมายระยะยาวของแบรนด์คือการเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตลาดแปรงสีฟันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย และการส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในสังคม