KMITL Expo 2026 LogoKMITL 66th Anniversary Logo

พัฒนานิทานดนตรีเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหารสำหรับเด็ก 0-3 ปี

รายละเอียด

นิทานดนตรีเสริมทักษะความคิดของเด็กอายุ 0-3 ปี โดยใช้ทักษะ EF เป็นตัวเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กโดยเน้นเรื่องทักษะพื้นฐาน 3 อย่าง 1. ความจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) 3. การยืดหยุ่นความคิด (Cognitive Flexibility)

วัตถุประสงค์

ทักษะการคิดเชิงบริหาร หรือ Executive Function เป็นทักษะสำคัญในเด็กยุคปัจจุบัน ที่ช่วยให้เด็กสามารถกำกับความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้สำเร็จ โดยหน้าที่ของทักษะการคิดเชิงบริหารประกอบด้วย 3 อย่างหลักได้แก่ ความสามารถในการจดจำ (Working Memory) ความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility) และความสามารถในการควบคุมและยับยั้งตนเอง (Inhibitory Control) อย่างไรก็ดีทักษะการคิดเชิงบริหารไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่สองพัฒนาขึ้นได้ โดยหากเปรียบเทียบตามพัฒนาการทางด้านประสาทวิทยาจะพบว่าสมองในช่วง 3 ขวบปีแรกนั้นมีการไซแนปส์ (Synapse) หรือการเกิดจุดประสานระหว่างเซลล์ประสาทที่เกิดจากการเรียนรู้และประสบการณ์มากที่สุดในช่วงชีวิต ก่อนเกิดการตัดแต่งวงจรสมอง (Pruning) และสลายจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไป เพื่อจัดระเบียบการทำงาน การเรียกข้อมูลของสมองอันเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของมนุษย์เพื่อรักษา ในปัจจุบันมีการศึกษาผลของการจัดกิจกรรมดนตรีเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงบริหารจำนวนมาก และได้ผลไปในทิศทางเดียวกันว่ากิจกรรมดนตรีสามารถช่วยให้เด็กมีทักษะการคิดเชิงบริหารสูงขึ้น หรือมากกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมดนตรี อย่างไรก็ดีในประเทศไทยการเข้ากิจกรรมดนตรีสำหรับเด็กโดยเฉพาะในช่วง 0-3 ขวบ ที่ยังไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนั้นจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ความถี่ในการทำกิจกรรมไม่มากอาจเพียงสัปดาห์ละครั้งและต้องเดินทางไปที่โรงเรียนพิเศษซึ่งต้องใช้เวลามาก กลับกันในแทบทุกบ้านมักมีหนึ่งกิจกรรมที่ผู้ปกครองที่มีลูกเล็กมักทำเป็นประจำ ใช้ค่าใช้จ่ายน้อยและสามารถทำได้ที่บ้านในทุกๆ วัน นั้นคือการเล่านิทาน จากที่มาและความสำคัญข้างต้นผู้วิจัยจึงเห็นว่าการพัฒนานิทานดนตรีเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหาร สำหรับเด็ก 0-3 ปี จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครองลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา และสามารถทำกิจกรรมร่วมกับลูกได้ที่บ้านเป็นประจำ อันจะส่งผลต่อคุณภาพของเด็กที่จะมาเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคตต่อไป

นวัตกรรมอื่น ๆ

ลอยไปลอยมา

คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ

ลอยไปลอยมา

-

การผลิตต้นวิโอลา (Viola) ดอกไม้กินได้ด้วยระบบการปลูกโดยไม่ใช้ดิน

คณะเทคโนโลยีการเกษตร

การผลิตต้นวิโอลา (Viola) ดอกไม้กินได้ด้วยระบบการปลูกโดยไม่ใช้ดิน

การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมร่วมกับจำนวนชั่วโมงในการให้แสงต่อการเจริญเติบโตของต้นวิโอลา (Viola) ภายใต้โรงงานผลิตพืช เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลผลิต ลดระยะเวลา และเพิ่มรอบการผลิตให้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยวางแผนการทดลองแบบ 3x3 Factorial in CRD มี 9 กรรมวิธี กรรมวิธีละ 3 ซ้ำๆ ละ 6 ต้น ซึ่งปัจจัยที่ใช้ศึกษามีอยู่ 2 ชนิด คือ ปัจจัยที่ 1 ความเข้มข้นของธาตุไนโตรเจน (N) ร่วมกับโพแทสเซียม (K) ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน 3 ระดับ ดังนี้ 1) N:K 1:1, 2) N:K 1:2 และ 3) N:K 2:1 ปัจจัยที่ 2 จำนวนชั่วโมงในการให้แสงต่อวันที่แตกต่างกัน 3 กรรมวิธี ดังนี้ 1) จำนวนชั่วโมงในการให้แสง 24 ชั่วโมงต่อเนื่อง 2) จำนวนชั่วโมงในการให้แสงช่วง Vegetative 8 ชั่วโมงพัก 16 ชั่วโมง จากนั้นช่วงกระตุ้นตาดอกเพิ่มแสงเป็น 13 ชั่วโมง พัก 11 ชั่วโมง หลังจากเกิดตาดอก จะให้แสง 8 ชั่วโมง พัก 16 ชั่วโมง และ 3) จำนวนชั่วโมงในการให้แสง 5 ชั่วโมงพัก 3 ชั่วโมง โดยทุกกรรมวิธีปรับอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ค่า EC 1.5-2.0 mS/cm และ ค่า pH 5.8-6.5 ผลการทดลอง พบว่า การให้ระดับความเข้มข้นของปุ๋ย N:K ในอัตราส่วน 1:1 ร่วมกับแสง 24 ชั่วโมง ทำให้การเจริญเติบโตทางลำต้นและมีคุณภาพดอกมากที่สุด รวมทั้งการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสโดยภาพรวมอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เหมาะแก่การนำไปประกอบอาหารหรือตกแต่งจาน ซึ่งกรรมวิธีนี้ทำให้สามารถเพิ่มคุณภาพของผลผลิตได้ดีที่สุด สามารถลดระยะเวลาในการผลิตดอกวิโอลาในแต่ละรอบจาก 90-100 วัน ลดลงเหลือ 43-45 วัน และเพิ่มรอบการผลิตให้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องคำนึงถึงฤดูกาล หรือสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งดีต่อเกษตรกรผู้ผลิต

พลังจากใบไม้: นวัตกรรมการเคลือบเมล็ดพันธุ์เรืองแสงจากธรรมชาติ เพื่อป้องกันการปลอมแปลง

คณะเทคโนโลยีการเกษตร

พลังจากใบไม้: นวัตกรรมการเคลือบเมล็ดพันธุ์เรืองแสงจากธรรมชาติ เพื่อป้องกันการปลอมแปลง

การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดของพอลิเมอร์ที่เหมาะสมในการเคลือบร่วมกับสารสกัดคลอโรฟิลล์และคุณภาพของเมล็ดพันธุ์แตงกวาหลังจากการเคลือบ วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) จำนวน 4 ซ้ำ โดยมี 5 กรรมวิธี ประกอบด้วยเมล็ดพันธุ์ที่เคลือบด้วยพอลิเมอร์ชนิดต่างกัน คือ Polyvinylpyrrolidone, Sodium Alginate, Carboxy Methyl Cellulose, Hydroxypropyl methylcellulose โดยพอลิเมอร์แต่ละชนิดทำการเคลือบร่วมกับ Chlorophyll และมีเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เคลือบสารเป็นกรรมวิธีควบคุม ดำเนินการทดลองโดยเตรียมสารเคลือบด้วยการสกัด Chlorophyll จากใบมะม่วง แล้วนำมาเตรียมสารเคลือบโดยนำมาผสมกับพอลิเมอร์แต่ละชนิดที่มีความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้สารสกัด Chlorophyll ที่มีความเข้มข้น 8 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นตรวจสอบคุณสมบัติของสารเคลือบแต่ละกรรมวิธี ได้แก่ ความเป็นกรดด่างและความหนืดของสารเคลือบ แล้วจึงนำมาเคลือบเมล็ดพันธุ์แตงกวาด้วยเครื่องเคลือบระบบจานหมุนรุ่น RRC150 ในอัตราสารเคลือบ 1,100 มิลลิลิตรต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม จากนั้นนำมาลดความชื้นให้เมล็ดพันธุ์มีระดับความชื้นเท่ากับระดับความชื้นเริ่มต้นด้วยเครื่องเป่าลมร้อน แล้วตรวจคุณภาพเมล็ดพันธุ์ในลักษณะต่างๆ ได้แก่ ความชื้นของเมล็ดพันธุ์ ความงอกของเมล็ดพันธุ์ที่เพาะในสภาพห้องปฏิบัติการ ดัชนีการงอก และการเรืองแสงของเมล็ดพันธุ์ภายใต้เครื่องฉายแสงอัลตราไวโอเลตแบบพกพารวมถึงตรวจสเปกตรัมการคายแสงด้วยเครื่อง Spectrophotometer ผลการทดลองพบว่าพอลิเมอร์แต่ละชนิดสามารถนำมาใช้เป็นสารก่อฟิล์มร่วมกับคลอโรฟิลล์ได้ ซึ่งมีความเป็นกรด-ด่างและมีความหนืดของสารเคลือบที่เหมาะสม ไม่มีผลต่อคุณภาพของเมล็ดพันธุ์และมีการเรืองแสงที่ผิวของเมล็ดพันธุ์ทั้งการตรวจสอบภายใต้เครื่องฉายแสงอัลตราไวโอเลตแบบพกพาและการตรวจสเปกตรัมการคายแสงภายใต้เครื่อง Spectrophotometer โดยการใช้ HPMC เป็นสารก่อฟิล์มร่วมกับคลอโรฟิลล์ เป็นกรรมวิธีที่เหมาะสมทำให้เมล็ดพันธุ์มีประสิทธิภาพในการเรืองแสงมากที่สุด