ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิโปรตีนสูง มีการใช้สารไฮโดรคอลลอยด์คือ HPMC อยู่ที่ 0, 0.25, 0.5 และ 1% w/v และ MD 10% w/v โดยสารไฮคอลลอยด์นี้มีโปรตีนที่ละลายอยู่ 30% w/v นำไปเคลือบข้าวหอมมะลิดิบ พบว่าปริมาณ HPMC ที่แตกต่างกันส่งผลต่อการยึดเกาะของโปรตีนในข้าว จากนั้นนำสารไฮโดรคอลลอยด์ที่สารมารถยึดเกาะบนได้ดีที่สุดคือ 0.25% w/v นำมาหาหาปริมาณที่เหมาะสมในการเคลือบข้าวที่อัตราส่วน 1:3 และ 1:5 ที่ส่งผลต่อ ปริมาณโปรตีน เนื้อสัมผัส สี การอุ้มน้ำ และการยอมรับทางประสาทสัมผัส
ข้าวเป็นอาหารหลักที่คนบริโภคเกือบทุกมื้อ หากินได้ง่าย โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวที่สำคัญของโลก คิดเป็นสัดส่วน 4.1% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก จัดเป็นอันดับ 6 ของโลก ในปี พ.ศ.2566 มีปริมาณความต้องการบริโภคภายในประเทศ อยู่ที่ 13.3 ล้านตัน และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้น 2.0 – 3.0% ต่อปี โดยประเภทของข้าวสารที่นิยมในประเทศไทยมีหลากหลาย อาทิเช่น ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวกล้องและอื่นๆ (Chaiwat, 2024) ถึงแม้ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือข้าวอีกหลายๆชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารสูงแต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าข้าวขาว เนื่องจากรับประทานได้ง่ายและย่อยได้ง่ายกว่า ข้าวขาวได้มาจากการขัดสีหลายๆครั้งจนเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวหลุดออกไปทำให้สูญเสียวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดไป (กรมอนามัย, 2024)ข้าวหอมมะลิเป็นพันธุ์ข้าวที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์มาจากยุคที่มีผลผลิตต่ำโดยเน้นการปรับปรุงเพื่อให้มีผลผลิตต่อไร่ที่สูง ซึ่งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่ชื่นชอบของทั่วโลก ข้าวหอมมะลิไทยมี 2 สายพันธุ์ที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 และ กข.15 มีจุดเด่นคือ เมื่อนำไปหุงสุกจะนุ่มมากกว่า แต่ร่วนน้อยกว่าข้าวเจ้าทั่วไป ( AMARC, 2023) โปรตีน จัดเป็นอาหารพื้นฐานที่ต้องได้รับทุกวันในปริมาณที่เพียงพอ มีหน้าที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวหนัง กระดูก และฟัน โปรตีนยังเป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักของผู้ที่ออกกำลังกายและผู้ที่รักสุขภาพ ในปัจจุบันมีการทำอาหารเสริมโปรตีนขึ้นมาหลากหลายชนิด เช่น เวย์โปรตีน โปรตีนจากพืชและสัตว์โดยทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง เพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังช่วยให้อิ่มท้องได้นานกว่าคาร์โบไฮเดรต ทำให้มีความอยากอาหารน้อยลง และยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอีกด้วย แหล่งโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับคนออกกำลังกาย ได้แก่ อกไก่ เนื้อปลา ไข่ไก่ นม ถั่วและธัญพิชต่างๆ โดยโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี โดยความต้องการโปรตีนจะแตกต่างกันออกไปตามช่วงวัยและการใช้ชีวิต ในบุคคลทั่วไปควรได้รับโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ส่วนผู้ที่ต้องต้องโปรตีนมากกว่าปกติ เช่น ผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ แผลกดทับ หรือนักกีฬาที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ควรได้รับโปรตีน 1.2 - 2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (นันท์นภัส, 2022) อาหารเสริมโปรตีน และเครื่องดื่มโปรตีนสูงในปัจจุบันเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมโปรตีน แต่อาจสร้างความเบื่อหน่ายแก่ผู้บริโภคได้ เนื่องจากรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนกับการรับประทานอาหารมื้อหลักทั่วไปได้ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงต้องการพัฒนาหรือปรับปรุงข้าว ให้เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง โดยสารอาหารหลักที่พบในข้าว ส่วนใหญ่ คือ คาร์โบไฮเดรตถึงร้อยละ 70 – 80 ซึ่งมีแป้งเป็นส่วนประกอบเกือบทั้งหมด มีน้ำตาลซูโครส (sucrose) และน้ำตาลเดกซ์ทริน (dextrin) เล็กน้อย และมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 7 – 8 โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิเป็นอาหารผู้คนต้องรับประทานอยู่แล้วในทุกมื้อหรือเกือบทุกมื้อ การพัฒนาหรือปรับปรุงข้าวหอมมะลิเพื่อให้มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 15 – 20 กรัมต่อมื้อ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในงานวิจัยนี้ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า โปรตีนข้าวไอโซเลทมีปริมาณโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลักถึงร้อยละ 70 – 90 จึงเป็นตัวเลือกในการนำมาเคลือบข้าวหอมมะลิ การเคลือบผิวเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานในปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยการเคลือบที่รับประทานได้ หมายถึง การใช้วัสดุเคลือบที่รับประทานได้เพื่อห่อหุ้มอาหาร ทำให้เกิดประโยชน์หลายประการ เช่น การเคลือบเพื่อถนอมอาหาร ป้องกันการสูญเสียน้ำ ชะลอการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เพิ่มปริมาณสารอาหาร ปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของอาหาร และบางครั้งยังช่วยให้มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดอีกด้วย (Krishna et al., 2023) หลายการใช้งานฟิล์มและสารเคลือบที่กินได้ในอาหารได้ถูกนำไปใช้เชิงพาณิชย์แล้ว ในงานวิจัยนี้ใช้สารเคลือบจากโปรตีนข้าวไอโซเลท โดยมีการใช้สารไฮโดรคอลลอยด์ 2 ชนิด ได้แก่ได้แก่ คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (Hydroxypropyl methylcellulose; HPMC) และมอลโทเดกซ์ทริน (Maltodextrin; MD) เพื่อให้โปรตีนไอโซเลทเคลือบบนเม็ดข้าวได้ดี มีการปรับปรุงคุณภาพข้าวโดยใช้โพลีแซ็กคาไรด์จากถั่วเหลืองเป็นอิมัลซิไฟเออร์เพื่อลดการแห้งและการตกตะกอนของน้ำที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของน้ำระหว่างการเก็บรักษา (Takahashi et al., 2005). Bartolozzo et al. (2016) ได้พัฒนาสารเคลือบที่กินได้จาก triticale flour และ กลีเซอรอล ในการเก็บรักษามัฟฟิน ผลคือสามารถชะลอการเสื่อมสภาพได้ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาลักษณะของแป้ง Eom et al. (2018) และ et al. (2020) ศึกษาการเคลือบเค้กข้าวโดยพัฒนาอิมัลชันเคลือบที่กินได้โดยใช้แป้งและโพลีแซ็กคาไรด์ จากแป้งข้าวโพด แป้งข้าวเหนียว และกัวร์กัม (Guar gum) ซึ่งสามารถชะลอการคืนตัวของแป้งและการเสื่อมคุณภาพของขนมข้าวได้
คณะวิทยาศาสตร์
การผลิตน้ำตาลจากอ้อยเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต้องการการควบคุมที่แม่นยำ หนึ่งในปัญหาสำคัญคือการสูญเสียน้ำตาล ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะ “การเผาอ้อย” ก่อนนำเข้าหีบ ที่ลดคุณภาพอ้อยและประสิทธิภาพการสกัดน้ำตาล รวมถึง ประสิทธิภาพเครื่องจักรและคุณสมบัติของอ้อย ที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลที่ได้ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสูญเสียน้ำตาลในกระบวนการผลิตน้ำตาลจากอ้อย โดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณจากโรงงานน้ำตาล ครอบคลุม 9 ตัวแปร ได้แก่ ประสิทธิภาพเครื่องจักร (Mechanical efficiency), จำนวนชั่วโมงหยุดเครื่องจักรในหนึ่งวัน (Stoppage), จำนวนชั่วโมงหยุดรออ้อยในหนึ่งวัน (Due to Cane), ปริมาณทรายในน้ำอ้อย (Sand), ประสิทธิภาพการหีบสกัดอ้อย (Pol Extraction), ประสิทธิภาพเวลาการทำงานโดยรวม (Overall Time), ค่าความบริสุทธิ์ของน้ำอ้อย (Purity), ค่าปริมาณน้ำตาลในอ้อย (C.C.S.), และปริมาณอ้อยไฟไหม้ (Burn Cane) โดยจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และแบบจำลองการถดถอย (Regression Model) เพื่อพยากรณ์การสูญเสียน้ำตาล ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพเครื่องจักร, ค่าปริมาณน้ำตาลในอ้อย และปริมาณทรายหรือสิ่งปนเปื้อนในน้ำอ้อย มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการสูญเสียน้ำตาล โดยประสิทธิภาพเครื่องจักร มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณอ้อยเข้าหีบ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำตาล ขณะที่ อ้อยไฟไหม้หรืออ้อยที่ถูกเผาก่อนการเก็บเกี่ยว ส่งผลให้การสกัดน้ำตาลลดลงและกระทบต่อคุณภาพน้ำตาล ดังนั้น การลดการสูญเสียน้ำตาลในกระบวนการผลิตสามารถทำได้โดย การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร, ลดสิ่งปนเปื้อนในน้ำอ้อย และจัดการอ้อยไฟไหม้ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลให้สูงขึ้นได้ในอนาคต
คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
สถานการณ์ในปัจจุบันและความไม่แน่นอน นำมาสู่แนวคิดความมั่นคงทางอาหาร การนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อให้เกิดการให้ผลผลิตที่มากในพื้นที่จำกัด โดยปรับปรุงอาคารเก่าในพื้นที่เมืองที่ไม่ถูกใช้งานมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการปลูกพืช จัดทำเป็นพื้นที่เรียนรู้การปลูกพืชในเมือง นำเสนอวิธีการปลูกพืชแบบต่างๆ รวบรวมเป็นนวัตกรรมการปลูกพืชกว่า 35 รายการ สำหรับเผยแพร่ความรู้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร พึ่งพาตนเอง การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
คณะแพทยศาสตร์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (Deep Convolutional Neural Networks - CNNs) สำหรับการระบุเม็ดยาอย่างแม่นยำ เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการพิสูจน์เอกลักษณ์เม็ดยาด้วยทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้ข้อมูลรูปภาพจำนวน 1,250 ภาพ จากยาสามัญประจำบ้าน 10 ชนิด นำมาทดสอบกับโมเดล YOLO ที่แตกต่างกันภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ผลการทดลองพบว่า การใช้แสงธรรมชาติให้ผลดีกว่าเมื่อทดสอบด้วยระบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน เมื่อเปรียบเทียบกับแสงจากกล่องสตูดิโอ นอกจากนี้ โมเดล YOLOv5-tiny แสดงความแม่นยำสูงสุดในการตรวจจับเม็ดยา ขณะที่โมเดล EfficientNet_b0 ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดในการจำแนกเม็ดยา แม้ว่าระบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชันที่พัฒนาขึ้นนี้จะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องชนิดของเม็ดยาและจำนวนภาพที่ใช้ในการศึกษา อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้มีศักยภาพในการส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้ยาทั้งในระบบสาธารณสุขและผู้ป่วยนอก รวมถึงลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาผิดพลาด