
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการในการออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ปลาดุกเส้นของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา 2) พัฒนาฉลากสินค้าปลาดุกเส้น และ 3) ประเมินระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีต่อฉลากสินค้าที่พัฒนาขึ้น โดยศึกษาจาก สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา จำนวน 17 คน และผู้บริโภค จำนวน 151 คน วิธีการวิจัยประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการใช้แบบสอบถาม เพื่อรวบรวมข้อมูลความพึงพอใจ ผลการศึกษาพบว่า ฉลากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนามีความสามารถในการดึงดูดความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ได้ โดยสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนาและผู้บริโภคมีระดับความพึงพอใจต่อฉลากสินค้าในระดับมาก (x ̅= 4.17 และ 3.75 ตามลำดับ)
ปลาดุกถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน ปลาดุกเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ปลาดุกเป็นปลาน้ำจืดจำพวกไม่มีเกล็ดที่ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำโคลน ไม่ชอบน้ำใสอยู่ได้ทั้งในน้ำนิ่งและน้ำไหล เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว และเนื้อมีรสชาติดี อยู่ในความนิยมของคนไทยโดยเฉพาะ “ปลาดุกบิ๊กอุย” ปัจจุบันปลาดุกบิ๊กอุยเป็นที่ต้องการของตลาดเฉลี่ย 107,584 ตัน ด้วยเหตุนี้เกษตรกรจึงได้เลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุยมากขึ้น และสามารถสร้างรายได้สูง เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 62,951.22 บาทต่อเดือน (กรมประมง, 2559) แต่เมื่อมีเกษตรกรเริ่มมีการเลี้ยงปลาดุกมากขึ้นทำให้ราคาปลาดุกลดลง โดยมีอัตราการลดลงอยู่ที่ร้อยละ 10.5 ทำให้นายวีระวงศ์ ปั้นทองสุข ได้นำปลาดุกมาทดลองแปรรูป เริ่มจากการนำปลาดุกตัวเล็กมาแปรรูปเป็นปลาแดดเดียว และขายภายในหมู่บ้านโดยใช้รถจักรยานยนต์ ทำให้ผู้บริโภคชื่นชอบในรสชาติทำให้ขายดียิ่งขึ้น ต่อมาจึงได้พัฒนาสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ ปลาดุกเส้นเค็ม และปลาดุกเส้นหวาน และยังมีส่วนหนังที่เหลือก็ได้มีการนำมาทำหนังปลาดุกทอดกรอบขายด้วย ซึ่งสินค้าที่ได้ทำขึ้นมาได้สนอง ความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อไก่ แต่ก็เป็นที่นิยมเพียงในชุมชนเท่านั้น จึงได้เข้าจดทะเบียนสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ขึ้นกับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จึงได้มีโอกาสจำหน่ายสินค้าตามงานแสดงสินค้าและ จำหน่ายสินค้า OTOP ทั้งระดับจังหวัด ภูมิภาคและประเทศ ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับ ซึ่งจากเดิมที่ทำคนเดียวก็ได้มีกลุ่มชาวบ้านในชุมชนเริ่มสนใจได้มาร่วมช่วยกันแปรรูปปลาดุกจนทำให้เกิดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ขึ้นจนในปัจจุบันมีสมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจถึง 17 คน (สำนักงานเกษตรอำเภอลำลูกกา, 2566) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา เป็นกลุ่มของเกษตรกรที่เลี้ยงปลาดุก โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือการเพิ่มรายได้ของสมาชิก แต่เดิมนั้นสมาชิกในกลุ่มไม่มีประสบการณ์ในการทำงานในด้านการแปรรูปมาก่อน ทำให้ไม่สามารถผลิตให้ทันจำหน่าย หรือมีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร แต่ด้วยเพราะมีความสามัคคีเป็นหัวใจหลักทำให้อยู่ร่วมกันได้และช่วยกันระดมความคิด วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของกลุ่ม จัดแจงตำแหน่งการทำงานตามความถนัดและความเหมาะสม ทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนาได้มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นถึงสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และยังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน (สำนักงานเกษตรอำเภอลำลูกกา, 2566) ในปัจจุบันสินค้าได้เป็นที่ยอมรับของผู้คนบางกลุ่มจำนวนกว่า 1,000 คน แต่ก็มีผู้บริโภคบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมรับ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างที่ไม่สามารถเลือกที่จะบริโภคสินค้าดังกล่าวได้ เช่น ในกลุ่มผู้บริโภคบางกลุ่มยังไม่นิยมบริโภคปลาดุกเท่าที่ควร เนื่องจากรูปลักษณ์ของปลาดุก ความกังวลในกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ หรือภาพจำการใช้ชีวิตของปลาดุกที่มักอาศัยในโคลนตมใต้น้ำ จึงทำให้เกิดความกังวลเรื่องของความสะอาด ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในความสะอาดและรสชาติของสินค้าเท่าที่ควร จึงเลือกที่จะไม่ยอมรับในตัวสินค้านี้ จากเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้ผู้วิจัยได้เล็งเห็นถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์นี้ นั่นก็คือ การออกแบบฉลากสินค้าที่เหมาะสมกับตัวสินค้าภายใน ที่สามารถลดปัญหาในเรื่องของภาพลักษณ์ต่าง ๆ ในปลาดุก และยังเป็นฉลากสินค้าที่สามารถเข้าถึงได้กับผู้บริโภคทุกกลุ่ม

คณะแพทยศาสตร์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (Deep Convolutional Neural Networks - CNNs) สำหรับการระบุเม็ดยาอย่างแม่นยำ เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการพิสูจน์เอกลักษณ์เม็ดยาด้วยทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้ข้อมูลรูปภาพจำนวน 1,250 ภาพ จากยาสามัญประจำบ้าน 10 ชนิด นำมาทดสอบกับโมเดล YOLO ที่แตกต่างกันภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ผลการทดลองพบว่า การใช้แสงธรรมชาติให้ผลดีกว่าเมื่อทดสอบด้วยระบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน เมื่อเปรียบเทียบกับแสงจากกล่องสตูดิโอ นอกจากนี้ โมเดล YOLOv5-tiny แสดงความแม่นยำสูงสุดในการตรวจจับเม็ดยา ขณะที่โมเดล EfficientNet_b0 ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดในการจำแนกเม็ดยา แม้ว่าระบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชันที่พัฒนาขึ้นนี้จะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องชนิดของเม็ดยาและจำนวนภาพที่ใช้ในการศึกษา อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้มีศักยภาพในการส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้ยาทั้งในระบบสาธารณสุขและผู้ป่วยนอก รวมถึงลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาผิดพลาด

คณะวิศวกรรมศาสตร์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบปลอมปนของข้าวสารพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ตามอายุการเก็บรักษา ด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปี โดยใช้ฟูเรียร์ทรานฟอร์มเนียร์อินฟราเรดสเปกโทรสโกปี (FT-NIR) จำนวนคลื่น 12,500 – 4,000 cm-1 (800 – 2,500 nm) ซึ่งอายุการเก็บรักษาของข้าวที่แตกต่างกันส่งผลต่อคุณภาพข้าวหุงสุก งานวิจัยนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน 1) เพื่อตรวจสอบความเป็นไปในการแยกข้าวสารตามอายุการเก็บรักษา 1 2 และ 3 ปี แบบจำลองที่ดีที่สุดสร้างด้วย Ensemble ร่วมกับ Second Derivative มีค่าความถูกต้อง (Accuracy) เท่ากับ 96.3% 2) ตรวจสอบการปลอมปนตามอายุการเก็บรักษา โดยปลอมปนที่ 0% (ข้าว 2 และ 3 ปีทั้งหมด), 10%, 20%, 30%, 40%, 50%, 60%, 70%, 80%, 90% และ 100% (ข้าว 1 ปีทั้งหมด) แบบจำลองที่ดีที่สุดสร้างด้วย Gaussian Process Regression (GPR) ร่วมกับ Smoothing + Multiplicative Scatter Correction (MSC) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การกำหนด (r²) ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ยของการทำนาย (RMSEP) ค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ย (Bias) และค่าความสามารถในการทำนาย (RPD) เท่ากับ 0.92 8.6% 0.9% และ 3.6 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าแบบจำลองการปลอมปนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับการตรวจสอบการแยกประเภทข้าวตามอายุการเก็บรักษา 1 ปี 2 ปี และ 3 ปี นอกจากนั้นค่าสีของข้าวที่อายุการเก็บรักษาต่างกันมีค่าสี L* และ b* ต่างกันอีกด้วย

คณะอุตสาหกรรมอาหาร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการห่อหุ้มแอนโธไซยานินในอิมัลชันชนิดน้ำในน้ำมันในน้ำ (W/O/W) และกระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอย เพื่อเพิ่มความเสถียรของแอนโธไซยานินจากปัจจัยภายนอก เช่น แสง อุณหภูมิ และการเปลี่ยนแปลงค่า pH การเตรียมอิมัลชัน W/O/W ดำเนินการโดยใช้สารลดแรงตึงผิวที่เหมาะสม และทำแห้งด้วยเครื่องพ่นฝอยที่อุณหภูมิขาเข้า 120–140°C และอุณหภูมิขาออกไม่ต่ำกว่า 80°C ผลการศึกษาพบว่าสัดส่วนองค์ประกอบของน้ำ น้ำมัน และสารลดแรงตึงผิวมีผลต่อคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของอิมัลชัน รวมถึงประสิทธิภาพในการกักเก็บแอนโธไซยานิน อิมัลชัน W/O/W ที่ผ่านกระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอยสามารถกักเก็บแอนโธไซยานินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มความเสถียรในระยะยาว ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้