KMITL Innovation Expo 2025 Logo

ระบบการจัดการและจัดเก็บอะไหล่รถยนต์

รายละเอียด

ปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่ผู้คนใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นผู้ใช้รถจึงนิยมทำประกันภัยเพื่อลดความเสี่ยงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในส่วนของบริษัทประกันภัย บริษัทจะรับผิดชอบความเสียหายตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ หนึ่งในหน้าที่ที่ฝ่ายสินไหมทดแทนของบริษัทต้องทำคือการจัดหาอะไหล่เพื่อควบคุมต้นทุน อย่างไรก็ตาม ฝ่านสินไหมทดแทนอาจเกิดมีการทำงานที่ผิดพลาด เช่น การสั่งอะไหล่ผิดหรือสั่งมาเกินความจำเป็นที่ต้องการใช้ ปัจจุบันบริษัทประกันภัยยังไม่มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากนัก งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบจัดการและจัดเก็บอะไหล่รถยนต์สำหรับบริษัทประกันภัย ระบบถูกออกแบบให้สามารถติดตามสถานะของอะไหล่ ตั้งแต่การจัดเก็บจนถึงการเบิกจ่าย โดยใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ดเพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล ระบบดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถบริหารอะไหล่ได้อย่างเป็นระบบ ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

วัตถุประสงค์

การประกันภัยเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน บริษัทประกันจึงจำเป็นที่จะต้องปรับตัวรับมือกับกรมธรรม์ที่มากขึ้นในทุกๆปี ทำให้จะต้องมีระบบในการรองรับและจัดการต่างๆ ซึ่งในหน่วยงานของสินไหมรถยนต์เอง ก็ต้องมีระบบและการจัดการที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน และหนึ่งในนั้นคืองานระบบภายในและระบบภายนอกที่เกิดจากความต้องการของสาขาต่างๆของบริษัท และคู่ค้าสัญญาในเครือ ซึ่งทำให้เกิดระบบขึ้นมา ได้แก่ ระบบจัดการและจัดเก็บอะไหล่

นวัตกรรมอื่น ๆ

การพัฒนาวัสดุเส้นใยนาโนคาร์บอนคอมโพสิทเป็นตัวเก็บประจุยิ่งยวดสำหรับกักเก็บพลังงาน

วิทยาลัยการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม

การพัฒนาวัสดุเส้นใยนาโนคาร์บอนคอมโพสิทเป็นตัวเก็บประจุยิ่งยวดสำหรับกักเก็บพลังงาน

งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาเส้นใยนาโนคาร์บอนที่มีโครงสร้างหลายเฟสผสมออกไซด์ของโลหะ (CNF@MOx; M = Ag, Mn, Bi, Fe) โดยฝังอนุภาคนาโนของเงิน แมงกานีส บิสมัท และเหล็ก ลงในเส้นใยนาโนคาร์บอนที่ได้จากพอลิอะคริโลไนไตรล์ (PAN) ผ่านเทคนิคอิเล็กโทรสปินนิ่งและผ่านการอบชุบในบรรยากาศอาร์กอน ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าเส้นใยนาโนที่ได้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 559-830 นาโนเมตร และมีอนุภาคนาโนฝังตัวขนาด 9-21 นาโนเมตร การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างยืนยันการมีอยู่ของสถานะออกซิเดชันต่างๆ ของโลหะออกไซด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกลไกการเก็บประจุไฟฟ้า ผลการทดสอบทางไฟฟ้าเคมีพบว่า CNF@Ag/Mn/Bi/Fe-20 มีค่าความจุจำเพาะสูงสุดที่ 156 F g⁻¹ ที่อัตราการสแกน 2 mV s⁻¹ และมีเสถียรภาพสูง โดยยังคงค่าความจุได้มากกว่า 96% หลังจากการชาร์จ-คายประจุ 1400 รอบ กลไกการเก็บประจุของเส้นใยนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างความสามารถในการเก็บประจุแบบชั้นคู่ไฟฟ้าและกระบวนการรีดอกซ์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัสดุอิเล็กโทรดสำหรับตัวเก็บประจุยิ่งยวด

เครื่องทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำแบบขดลวดคู่สำหรับโรงงานเครื่องประดับที่พัฒนาด้วยการวิเคราะห์ทางแม่เหล็กไฟฟ้า

วิทยาลัยนวัตกรรมการผลิตขั้นสูง

เครื่องทำความร้อนด้วยการเหนี่ยวนำแบบขดลวดคู่สำหรับโรงงานเครื่องประดับที่พัฒนาด้วยการวิเคราะห์ทางแม่เหล็กไฟฟ้า

เครื่องทำความร้อนแบบเหนี่ยวนำ (Induction Heating Machine: IHM) เป็นอุปกรณ์สำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ โดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อให้ความร้อนและเชื่อมโลหะมีค่า งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนาเครื่องทำความร้อนแบบเหนี่ยวนำขดลวดคู่ (Dual Coil IHM) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนของโรงงานเครื่องประดับ โดยใช้ การวิเคราะห์แม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Analysis: EMA) ผ่านซอฟต์แวร์ Ansys Maxwell กระบวนการวิจัยเริ่มจากการทดสอบเครื่อง IHM แบบขดลวดเดี่ยวในสภาวะการทำงานจริง และใช้ EMA เพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็ก (B) ที่เกิดขึ้น จากนั้นได้ออกแบบและเปรียบเทียบการทำงานของขดลวดคู่ในรูปแบบ ขนาน (Parallel) และ อนุกรม (Series) ผลการทดลองพบว่า ขดลวดอนุกรมให้ค่าฟลักซ์แม่เหล็กสูงกว่า และสามารถปรับค่ากระแส (I), ความถี่ (f), จำนวนรอบขดลวด (N) และระยะห่างขดลวด (d) เพื่อให้ได้ค่าที่เหมาะสมสำหรับการผลิต ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า เครื่อง IHM ขดลวดคู่แบบอนุกรมสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ 2 เท่า เมื่อเทียบกับเครื่องเดิม ทั้งนี้ เทคโนโลยี EMA ช่วยลดการทดลองเชิงกายภาพ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการออกแบบเครื่องจักรอุตสาหกรรมเครื่องประดับ

การออกแบบพื้นที่เกษตร “ชีวิตบ้านสวน”

คณะเทคโนโลยีการเกษตร

การออกแบบพื้นที่เกษตร “ชีวิตบ้านสวน”

โครงงานนี้นำเสนอวิธีการออกแบบและการจัดการพื้นที่เกษตร จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่กรณีศึกษาตั้งอยู่ที่ ตำบล วังด้ง อำเภอ เมืองกาญจนบุรี จังหวัด กาญจนบุรี พื้นที่ขนาดประมาณ 18 ไร่ เนื่องจากผู้ใช้งานมีความต้องการใช้ชีวิตเรียบง่ายในต่างจังหวัดกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติจึงออกแบบให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและยั่งยืน โดยมีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการดำรงชีวิตและการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร โซนปลูกผักและผลไม้ถูกวางแผนให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและชนิดของพืช เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่โซนเลี้ยงสัตว์ได้รับการจัดวางให้เป็นสัดส่วนแนวทางนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ แต่ยังเป็นรูปแบบของการใช้ชีวิตที่เกื้อกูลธรรมชาติ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับระบบนิเวศในระยะยาว มีการเก็บรายละเอียดของการวงตำแหน่งต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางลมและแสงของพื้นที่ รวมถึงการเขียนแบบที่ผ่านกระบวนการออกแบบและตรวจแบบอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อพื้นที่ใช้งาน