อัลบูมินสมาร์ทเทสท์ เป็นนวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจคัดกรองโรคไตโดยการตรวจวัดโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะด้วยมือถือ ประกอบไปด้วย (1) ชุดภาชนะและน้ำยาทดสอบ ที่มีความจำเพาะเจาะจงกับอัลบูมิน และ (2) โทรศัพท์มือถือที่ลงแอพพลิเคชันชื่อ “อัลบูมินสมาร์ทเทสท์” โดยขั้นตอนการตรวจวัดจะนำน้ำยาทดสอบหยดลงบนตัวอย่างปัสสาวะ อัลบูมินจะทำปฏิกิริยาเคมีกับน้ำยาทดสอบ แล้วใช้มือถือถ่ายรูปสีของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นแอพพลิเคชันจะประมวลผลภาพเพื่อเปลี่ยนความเข้มสีของผลิตภัณฑ์ให้เป็นความเข้มข้นของอัลบูมิน รายงานผลผ่านหน้าจอมือถือ การตรวจวัดเสร็จสิ้นภายใน 3 นาทีสามารถทดลองได้สะดวก รวดเร็ว ผู้ทดสอบทำได้ด้วยตนเอง
อัลบูมิน (Albumin) คือโปรตีนชนิดหนึ่ง โดยทั่วไป จะไม่พบอัลบูมินในปัสสาวะ ยกเว้นในกรณีที่ไตทำงานผิดปกติ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเป็นระยะเวลานาน หรือที่เรียกว่า "โรคไตจากเบาหวาน" (Diabetic nephropathy) จะพบ อัลบูมินปนในปัสสาวะ ดังนั้น ปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะ (Urinary albumin) จึงสามารถใช้เป็นดัชนีบ่งชี้การทำงานของไตในผู้ป่วยเบาหวานได้ โดยถ้าพบปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะที่เก็บภายใน 24 ชั่วโมง น้อยกว่า 30 มิลลิกรัม จะถือว่าไตทำงานเป็นปกติ แต่ถ้าพบปริมาณอัลบูมินอยู่ในช่วงตั้งแต่ 30 ถึง 300 มิลลิกรัม จะจัดว่าไตทำงานผิดปกติในระยะแรก เรียกว่า "ภาวะไมโครอัลบูมินูเรีย" (Microalbuminuria) ซึ่งหากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะนี้ จะลดโอกาสเสี่ยงต่อภาวะไตวายเรื้อรังได้อย่างมาก วิธีการตรวจวัดระดับอัลบูมินในปัสสาวะในปัจจุบัน ทำโดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ป่วย ส่งไปที่ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล ถึงแม้จะให้ผลถูกต้องแม่นยำ หากแต่มีขั้นตอนในการวิเคราะห์หลายขั้นตอน ใช้เวลานานกว่าจะรู้ผล อีกทั้งเครื่องมือมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญทำการทดสอบ ผู้ป่วยไม่สามารถวัดระดับอัลบูมินได้เอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ตรวจคัดกรองปริมาณอัลบูมินที่ใช้ทดสอบนอกห้องปฏิบัติการได้ โดยควรเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก พกพาสะดวก ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการวินิจฉัยนอกห้องปฏิบัติการ หรือ ‘Point-of-care testing’ ในปัจจุบัน ชุดตรวจวัดอัลบูมินในปัสสาวะแบบภาคสนามที่มีจำหน่าย จะทำการทดสอบโดยจุ่มแถบตรวจวัดที่เคลือบด้วยน้ำยาซึ่งจะทำปฏิกิริยากับอัลบูมินในปัสสาวะ แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แถบสี โดยระดับความเข้มสีจะแปรผันกับปริมาณของอัลบูมินที่ต้องการตรวจวัด ถึงแม้จะใช้งานง่าย แต่มีข้อจำจัดคืออาจมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นการตรวจวัดด้วยสายตา การแปลผลอาจจะไม่ละเอียดพอ ไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง อีกทั้งสีของปัสสาวะอาจรบกวนการทดสอบได้ เพื่อเป็นการพัฒนาวิธีทดสอบให้มีประสิทธิภาพ มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น จึงได้ประดิษฐ์ Albumin Smart Test สำหรับตรวจคัดกรองอัลบูมินในปัสสาวะโดยใช้โทรศัพท์มือถือขึ้น โดยออกแบบให้ใช้งานง่าย รู้ผลเร็ว พกพาไปใช้ ณ ที่ใดก็ได้ และสามารถหักล้างการรบกวนจากสีของตัวอย่างปัสสาวะได้
คณะอุตสาหกรรมอาหาร
The study investigated the extraction of astaxanthin-rich oil from shrimp waste biomass, a valuable byproduct rich in functional lipids and proteins. Wet rendering has long been an inexpensive method to extract oil, however the high temperatures and long cooking times negatively affect the amount of astaxanthin. On the other hand, the study looked into employing deep eutectic solvent as a green solvent and combining a wet rendering process with high-shear homogenization and high-frequency ultrasound-assisted extractions. DES-UAE at 60% amplitude and wet rendering at 60 °C were found to be the ideal conditions, as were DES-HAE at 13,000 rpm and wet rendering at 60 °C. With a notable increase in oil yields of 16.80% and 20.12%, respectively, and improved oil quality (lower acid and peroxide values) in comparison to the conventional wet rendering, experimental validation validated the effectiveness of the DES-HAE and DES-UAE procedures. DES-UAE notably raised the amount of astaxanthin. This study demonstrates that DES-HAE and DES-UAE are quicker, lower-temperature substitutes for obtaining premium, astaxanthin-rich shrimp oil, resulting in more effective use of this priceless byproduct.
คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
---
วิทยาลัยการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม
งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาเส้นใยนาโนคาร์บอนที่มีโครงสร้างหลายเฟสผสมออกไซด์ของโลหะ (CNF@MOx; M = Ag, Mn, Bi, Fe) โดยฝังอนุภาคนาโนของเงิน แมงกานีส บิสมัท และเหล็ก ลงในเส้นใยนาโนคาร์บอนที่ได้จากพอลิอะคริโลไนไตรล์ (PAN) ผ่านเทคนิคอิเล็กโทรสปินนิ่งและผ่านการอบชุบในบรรยากาศอาร์กอน ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าเส้นใยนาโนที่ได้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 559-830 นาโนเมตร และมีอนุภาคนาโนฝังตัวขนาด 9-21 นาโนเมตร การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างยืนยันการมีอยู่ของสถานะออกซิเดชันต่างๆ ของโลหะออกไซด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกลไกการเก็บประจุไฟฟ้า ผลการทดสอบทางไฟฟ้าเคมีพบว่า CNF@Ag/Mn/Bi/Fe-20 มีค่าความจุจำเพาะสูงสุดที่ 156 F g⁻¹ ที่อัตราการสแกน 2 mV s⁻¹ และมีเสถียรภาพสูง โดยยังคงค่าความจุได้มากกว่า 96% หลังจากการชาร์จ-คายประจุ 1400 รอบ กลไกการเก็บประจุของเส้นใยนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างความสามารถในการเก็บประจุแบบชั้นคู่ไฟฟ้าและกระบวนการรีดอกซ์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัสดุอิเล็กโทรดสำหรับตัวเก็บประจุยิ่งยวด