KMITL Innovation Expo 2026 LogoKMITL 66th Anniversary Logo

Comparison of greenhouse system optimum to potted petunia production

Comparison of greenhouse system optimum to potted petunia production

Abstract

-

Objective

พิทูเนีย (petunia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Petunia hybrida อยู่ในวงศ์ Solanaceae มีแหล่งกำเนิดในแถบทวีปอเมริกาใต้ (นันทิยา, 2535) เป็นไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2019–2020 กว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (United States Department of Agriculture, 2020; 2021) พิทูเนียมีสายพันธุ์ที่หลากหลายทำให้มีคุณภาพดอก ทั้งสีและขนาดของดอกที่แตกต่างกัน (สุคนธ์ทิพย์ และคณะ, 2554) ต้นมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย ค่อนไปทางไม้เลื้อย ใบคล้ายใบยาสูบแต่ขนาดเล็กกว่า มีขนปกคลุมผิวใบ ดอกมีสีสวยงามมักจะนิยมใช้เป็นไม้กระถางและไม้ประดับแปลง (สมเพียร, 2526) นอกจากนี้ดอกของพิทูเนียบางสายพันธุ์สามารถรับประทาน (Edible Flowers) และนำมาทำสีผสมอาหารได้ (บ้านและสวน, 2564; ออนไลน์) อีกทั้งพบสารประกอบฟีนอลิกมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Ivanka et al., 2020) แต่ในการปลูกและดูแลรักษาพิทูเนียมักพบปัญหาที่มาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมและการจัดการที่ไม่ถูกต้อง เช่น การระบายน้ำไม่ดีทำให้วัสดุปลูกมีความชื้นสูง หรือเกิดจากเชื้อรา Pythium spp. และ Phytophthora spp. ทำให้รากเน่า (Nelson, 2012) หรือโรคใบไหม้เกิดจากเชื้อรา Botrytis cinerea ทำให้พิทูเนียเกิดจุดสีน้ำตาลและมีเชื้อราสีเทาในใบและดอก มักพบในสภาพอากาศชื้น (Agrios, 2005) นอกจากนี้หากพืชได้รับแสงและอุณหภูมิไม่เหมาะสมจะทำให้การบานของดอกไม่สมบูรณ์ เพราะพิทูเนียต้องการแสงแดดอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวัน (Dole and Wilkins, 2005) และอุณหภูมิที่ 26 องศาเซลเซียส (Warner, 2010) การป้องกันและการจัดการที่ดีจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้และทำให้พิทูเนียเจริญเติบโตได้ดีขึ้น การปลูกไม้ดอกกระถางมี 3 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะการดูแลและสภาพแวดล้อมที่ต้องการ ดังนี้ 1. การปลูกในระบบดิน (soil-based planting) ใช้ดินผสมกับปุ๋ยและวัสดุปรับปรุงดิน เช่น ทราย หรือขุยมะพร้าว เพื่อให้พืชเติบโตในดินโดยตรง เหมาะสำหรับไม้ดอกกระถางที่ไม่ต้องการการดูแลมากและประหยัดต้นทุนในการผลิต (บ้านและสวน, 2567; ออนไลน์) 2. การปลูกในระบบที่ไม่ใช้ดิน (soilless culture) โดยให้สารละลายธาตุอาหารเป็นแหล่งอาหารหลักสำหรับพืชแทนการใช้ดิน เหมาะสำหรับการปลูกไม้ดอกที่ต้องการการควบคุมปริมาณธาตุอาหารอย่างแม่นยำ ลดปัญหาเรื่องโรคในดิน และการดูแลพืชที่มีประสิทธิภาพสูง (ธรรมศักดิ์, 2544) 3. การปลูกในระบบโรงเรือน (greenhouse cultivation) เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไม้ดอก เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และแสง เป็นต้น เหมาะสำหรับการผลิตในเชิงพาณิชย์หรือพื้นที่ที่มีสภาพอากาศไม่เหมาะสม ทำให้ไม้ดอกมีคุณภาพและเจริญเติบโตได้ดีกว่ารูปแบบอื่น (เนตาฟิม, 2567; ออนไลน์) อย่างไรก็ตามรูปแบบการปลูกแต่ละระบบจะมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และการจัดการของผู้ปลูก การปลูกไม้ดอกกระถางในโรงเรือนสามารถใช้ได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความต้องการในการควบคุมสภาพแวดล้อมและประเภทของไม้ดอกที่ปลูก สามารถแบ่งเป็น 4 แบบหลัก ๆ ได้แก่ 1. โรงเรือนมุงพลาสติก (plastic greenhouse) ใช้โครงสร้างเหล็กหรืออลูมิเนียม และมุงด้วยพลาสติกที่มีคุณสมบัติกรองแสง UV ราคาค่อนข้างต่ำและติดตั้งง่าย ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้ดี แต่พลาสติกมีอายุการใช้งานสั้นและต้องเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 3-5 ปี มีปัญหาเรื่องการสะสมความร้อนในช่วงกลางวัน เหมาะสมสำหรับการปลูกไม้ดอกที่ต้องการการควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น เบญจมาศ หรือไม้ดอกกระถางที่ไม่ต้องการแสงแดดแรง (หัตถ์ชัย, 2546; ธาวิดา, 2560; ออนไลน์) 2. โรงเรือนกระจก (glasshouse) ใช้แผ่นกระจกหรือวัสดุโปร่งแสงในการมุงหลังคาและผนัง เพื่อให้พืชได้รับแสงธรรมชาติมากที่สุด สามารถควบคุมแสง อุณหภูมิ และความชื้นได้ดี มีความคงทนสูง อายุการใช้งานยาวนาน แต่ต้นทุนสูง การบำรุงรักษาและทำความสะอาดต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่าย เหมาะสมสำหรับการผลิตไม้ดอกที่ต้องการแสงแดดจัดและมีความต้องการในการควบคุมสภาพแวดล้อมที่แม่นยำ เช่น กุหลาบหรือ เบญจมาศ (หัตถชัย, 2546; เนตาฟิม, 2567; ออนไลน์) 3. โรงเรือนมุงแผ่นโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate greenhouse) ใช้แผ่นโพลีคาร์บอเนตที่มีคุณสมบัติในการกรองแสงและเก็บรักษาความร้อนภายในโรงเรือน ทนทานต่อสภาพอากาศและช่วยรักษาความร้อนในช่วงกลางคืน กรองแสงได้ดีและลดความเสี่ยงจากแสงแดดจัด แต่ต้นทุนสูงกว่าโรงเรือนพลาสติก ต้องการการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสมสำหรับการปลูกไม้ดอกที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ เช่น เบญจมาศกระถางที่ต้องการอุณหภูมิคงที่ (แอมเพิลไลท์, 2567; ออนไลน์) 4. โรงเรือนตาข่ายพรางแสง (shade net house) ใช้ตาข่ายพรางแสงที่มีความทนทานและมีความหนาต่างกัน เพื่อควบคุมปริมาณแสงที่พืชจะได้รับ ราคาถูกและติดตั้งง่าย สามารถเลือกความหนาของตาข่ายพรางแสงตามความต้องการของพืช แต่การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นไม่สามารถทำได้เหมือนโรงเรือนประเภทอื่นๆ การควบคุมความชื้นและการป้องกันสภาพอากาศจากภายนอกไม่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมสำหรับการปลูกไม้ดอกที่ไม่ต้องการแสงแดดจัด (เนตาฟิม, 2567; ออนไลน์) โรงเรือนระบบปิดและโรงเรือนระบบเปิดมีความแตกต่างกันในเรื่องการควบคุมสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนและการระบายอากาศ ดังนี้ 1. โรงเรือนระบบปิด (closed greenhouse) มีการควบคุมสภาพแวดล้อมภายในอย่างเต็มที่ เช่น การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และระดับ CO2 โดยใช้ระบบระบายอากาศที่สามารถควบคุมได้ เช่น ระบบการเปิด-ปิดของหน้าต่าง ระบบเครื่องปรับอากาศ และการให้น้ำอัตโนมัติ การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และธาตุอาหาร ในโรงเรือนได้อย่างแม่นยำ ลดปัญหาเกี่ยวกับการระบาดของโรคและศัตรูพืชจากภายนอก ใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้นทุนสูงในการติดตั้งและบำรุงรักษา ต้องการการจัดการและดูแลที่ซับซ้อน (ชาคริต, 2565; ออนไลน์) 2. โรงเรือนระบบเปิด (open greenhouse) มีการระบายอากาศจากธรรมชาติหรือใช้พัดลมเพื่อช่วยให้อากาศถ่ายเทและควบคุมอุณหภูมิบางส่วน แต่ไม่ได้ควบคุมสภาพแวดล้อมภายในได้มากเท่ากับระบบปิด ต้นทุนการติดตั้งต่ำ การบำรุงรักษาง่าย ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นไม่สามารถทำได้แม่นยำ สภาพอากาศภายนอกมีผลกระทบโดยตรงกับสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือน การเลือกใช้ระบบเปิดหรือปิดขึ้นอยู่กับประเภทของพืชที่ปลูกและความสามารถในการลงทุนในเทคโนโลยีการควบคุมสภาพแวดล้อม การปลูกพิทูเนียในโรงเรือนเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชได้ แบ่งออกเป็นหลายวิธีตามลักษณะและเทคนิคที่ใช้ เช่น การปลูกแบบไฮโดรโพนิกส์ (hydroponic cultivation) ใช้วัสดุปลูกที่ไม่ใช่ดิน เช่น เพอร์ไลต์ กาบมะพร้าว หรือฟางข้าว โดยให้น้ำที่มีสารละลายธาตุอาหารอยู่ สามารถควบคุมปริมาณธาตุ อาหารได้ดี ลดปัญหาโรคที่เกิดจากดิน แต่ต้องการการดูแลและเทคโนโลยีสูงกว่า (Cardarelli et al., 2010) การปลูกในโรงเรือนระบายความร้อนด้วยการระเหย (evaporative cooling house) เป็นระบบที่ใช้การระเหยของน้ำเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในโรงเรือน โดยมีหลักการทำงานที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สามารถลดอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีอากาศร้อนและแห้ง ซึ่งการระเหยสามารถทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี และช่วยลดความชื้นภายในโรงเรือน โดยการระเหยของน้ำจะช่วยทำให้บรรยากาศรอบตัวพืชมีความสะอาดและมีสุขภาพดี (Dole and Wilkins, 2005; Nelson, 2012) การผลิตพิทูเนียในช่วงฤดูฝนไม่เป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากมักพบปัญหาที่มาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น เวลาฝนตก ถ้าจัดการการระบายน้ำได้ไม่ดีจะส่งผลให้วัสดุปลูกมีความชื้นสูง ทำให้ลำต้น ใบและดอกเน่า (สมเพียร, 2526) รวมถึงปัญหาเรื่องแสงและอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้การบานของดอกไม่สมบูรณ์ อีกทั้งยังมีปัญหาความชื้นและเชื้อรา ดังนั้นการทดลองนี้จึงต้องการเปรียบเทียบรูปแบบโรงเรือนที่เหมาะสมสำหรับการผลิตพิทูเนียกระถาง เพื่อสามารถนำมาประกอบการตัดสินใจในการผลิตพิทูเนียเพื่อการค้าต่อไป

Other Innovations

Underground Cable Testing and Analysis

คณะวิศวกรรมศาสตร์

Underground Cable Testing and Analysis

Due to the modern urban system's high demand for stable electricity supply, underground cable power transmission has been increasingly adopted as a replacement for overhead power transmission. However, underground cable transmission still faces several operational challenges, such as significantly higher investment costs compared to overhead transmission, prolonged repair times in the event of system failures, limited fault analysis capabilities, and restricted capacity for additional load handling. This research project is designed to study the issues associated with the 22 kV XLPE underground cable system by utilizing the polarization and depolarization current analysis technique, a modern insulation diagnostic method.

Read more
Development of synbiotic tepache for health

คณะอุตสาหกรรมอาหาร

Development of synbiotic tepache for health

Tepache is a traditional Mexican fermented beverage commonly made using pineapple peels, which naturally contain sugars and the enzyme bromelain. These components contribute to its distinctive aroma and unique flavor. This project aims to develop a health-enhancing tepache by fermenting pineapple peels with probiotic yeast and lactic acid bacteria. Additionally, prebiotics, including inulin and xylo-oligosaccharides, are incorporated as nutrients to support probiotic growth. The resulting synbiotic tepache promotes gut microbiota balance, exhibits antioxidant properties, and enhances the immune system, making it a functional and beneficial beverage for consumers.

Read more
MANAGEMENT SYSTEM FOR CHEMOTHERAPY IN CANCER HOSPITALS AND CHATBOT CONSULTATION

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ

MANAGEMENT SYSTEM FOR CHEMOTHERAPY IN CANCER HOSPITALS AND CHATBOT CONSULTATION

The process of treating cancer patients in the chemotherapy department at Chonburi Cancer Hospital is complicated and inconvenient due to the procedure of submitting blood test results through the personal LINE application of medical staff, which hinders workflow efficiency. Therefore, the researcher has developed a cancer patient management and tracking program in the form of a web-based application and LINE LIFF (LINE Front-end Framework) application to facilitate both medical personnel and patients. The web-based application is designed for medical personnel to monitor, schedule, and collect patient data, while the LINE application is designed for patients to submit blood test results, view appointment schedules, record symptoms after chemotherapy, log their weekly weight, and access a chatbot for consultation. This system is developed based on client-server technology, which enhances data analysis efficiency and supports automated treatment planning. As a result, the cancer treatment process becomes faster, more modern, and more efficient.

Read more