KMITL Innovation Expo 2026 LogoKMITL 66th Anniversary Logo

การใช้สารสกัดจากใบพลูคาวและใบดีปลีเพื่อยับยั้งเชื้อฉวยโอกาสในผู้ป่วยโรคภูมิเเพ้ผิวหนัง

รายละเอียด

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังมีจำนวนมากเป็นอันดับที่สอง ในจำนวนผู้ป่วยโรคผิวหนัง ซึ่งโรคภูมิแพ้ผิวหนังนี้ยังไม่มียารักษา ทำได้แค่บรรเทารักษาตามอาการ ทำให้เกิดเป็นโรคเรื้อรัง มีโอกาสที่เชื้อฉวยโอกาสจะเข้าไปก่อโรคเพิ่มจากแผลของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อชนิดอื่น การศึกษาในครั้งนี้จึงสนใจศึกษาการลดโอกาสในการติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง โดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งสนใจใบพลูคาวและดีปลี เนื่องจากมีข้อมูลสนับสนุนเรื่องการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ โดยการนำใบของพืชทั้ง 2 ชนิด มาสกัดแบบหยาบ แช่ใน ethanol 95% เป็นเวลา 7 วัน กรองด้วยกรวยกรอง buchner นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบ phytochemical เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบ phenolic, flavonoid, tannin, anthocyanin, DPPH และนำไปทดสอบฤทธิ์ในการต้านจุลชีพ ซึ่งในการทดลองประกอบด้วยแบบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ 5 ชนิด ได้แก่ E. coli, Bacillus subtilis, Pseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis โดยผู้ทำการวิจัยคาดว่าจะสามารถนำไปต่อยอดและนำไปพัฒนาในการรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้

วัตถุประสงค์

โรคภูมิเเพ้ผิวหนังเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั้งวัยทารกไปจนถึงวัยชรา โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ระบบภูมิคุ้มกัน และสภาพแวดล้อม ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังจะมีอาการคัน ผิวหนังแห้งอักเสบ อาจมีตุ่มน้ำหรือหนองจากการอักเสบและมีการติดเชื้อร่วมด้วย จากข้อมูลด้านสถิติผู้ป่วยโรคผิวหนังตั้งแต่ปี พ.ศ.2559-2562 แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยโรคผิวหนังมีอัตราเพิ่มขึ้นในทุกๆปีและที่มีจำนวนมากเป็นอันดับสองคือ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (สถาบันโรคผิวหนัง ,2564) ในกรณีที่ จะมีโอกาสที่เชื้อจุลินทรีย์ทั่วไปจะเปลี่ยนเป็นเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนังโดยเฉพาะ การรักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนังทางการแพทย์จะใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์หรือยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitors เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น แต่ตัวยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงต่อผู้ใช้ ในปัจจุบันนักวิจัยให้ความสนใจกับการใช้สารสกัดจากธรรมชาติในการรักษาโรคต่างๆ เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยากลุ่มอื่นรักษา เช่นเดียวกับโรคภูมิแพ้ผิวหนัง มีการวิจัยการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเป็นทางเลือกในการบรรเทาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งมีการใช้สารสกัดจากพืชหลายชนิดในการทดสอบการบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Yi Peng ,2567). พลูคาวเป็นพืชที่สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน มีฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวกและมีฤทธิ์เสริมฤทธิ์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของเบต้าแคโรทีนอีกด้วย (สุทธิจิต ,2562) เช่นเดียวกับดีปลีที่เป็นพืชวงศ์ Piperaceae มีฤทธิ์ที่สามารถต้านเชื้อราและแบคทีเรียที่เป็นตัวแทนของเชื้อก่อโรคได้ (ปาจรีย์ ,2557) ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการนำสารสกัดจากใบพลูคาวและใบดีปลีมาทดสอบการยับยั้งเชื้อฉวยโอกาสที่พบทั่วไปบนร่างกายและสภาพแวดล้อมเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อเพิ่มในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ผัวหนังและช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง

นวัตกรรมอื่น ๆ

ภาระ - พาฝัน

คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ

ภาระ - พาฝัน

บนเส้นทางของการมีชีวิตอยู่นับตั้งแต่เราเกิด คนเราต่างต้องประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย ความแตกต่างและหลากหลายลักษณะ ทั้งนี้แล้วแต่ละปัจจัยของการมีชีวิตของแต่ละบุคคล ต่างมีภาระหน้าที่ ความฝันที่ต่างกัน ความแตกต่างของบริบทชีวิต ทุกคนยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรค ภาระมากมายในการดำเนินชีวิต แบกรับภาระหน้าที่ของตนและครอบครัวเพื่อความอยู่รอด การดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ต่างกัน ภาระและความฝันที่มีมากมาย หากแต่ในบทชีวิตจริง จะมีสักกี่คนที่สามารถแบกรับภาระเหล่านี้ไปได้ถึงฝั่งฝันของตน

ตู้แช่เวชภัณฑ์ชนิดกระจายความเย็นอย่างทั่วถึงพร้อมระบบบันทึกข้อมูลและควบคุมระยะไกล

คณะบริหารธุรกิจ

ตู้แช่เวชภัณฑ์ชนิดกระจายความเย็นอย่างทั่วถึงพร้อมระบบบันทึกข้อมูลและควบคุมระยะไกล

ตู้แช่เวชภัณฑ์ชนิดกระจายความเย็นอย่างทั่วถึงพร้อมระบบบันทึกข้อมูลและควบคุมระยะไกล เป็นตู้แช่เวชภัณฑ์ที่มีระบบควบคุมการกระจายความเย็นภายในตู้แช่ให้มีอุณหภูมิใกล้เคียงกันทุกระดับความสูงภายในตู้แช่ พร้อมระบบบันทึกข้อมูล (Data Logging) เพื่อตรวจสอบห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain) ในการเก็บรักษาเวชภัณฑ์ พร้อมระบบแจ้งเตือนและควบคุมการทำงานระยะไกล

ระบบสเปรย์อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชเพื่อการลดฝุ่น PM2.5

คณะเทคโนโลยีการเกษตร

ระบบสเปรย์อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชเพื่อการลดฝุ่น PM2.5

จากปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นจากฝุ่นละอองที่มีขนาดเท่ากับหรือเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) นั้นนับว่าเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะเกิดปัญหามลพิษขึ้นเฉพาะภายในประเทศต่างๆ แล้วยังเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ส่งผลอันตรายต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการใช้อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชและระบบฉีดพ่นฝอย เพื่อการลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 โดยอาศัยหลักการมีคุณสมบัติเป็นประจุลบ และความสามารถในการละลายน้ำได้ จากการคัดเลือกอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพร 31 ชนิด และทดสอบพืชสมุนไพรประสิทธิภาพเบื้องต้นของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพร ในการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ในรูปแบบการพ่นละอองฝอย นาน 1 ชั่วโมง ภายใต้ตู้ทดสอบ พบว่าอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด ที่ความเข้มข้น 0.025% สามารถลดจำนวนอนุภาคของฝุ่น PM2.5 ที่มาจากท่อไอเสียรถยนต์ได้ดีที่สุด โดยพบค่า PM2.5 ที่วัดได้เป็นจำนวน 24.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 6 ชั่วโมง รองลงมาคือ มะกรูด ที่ความเข้มข้น 0.05% และ ยูคาลิปตัส ที่ความเข้มข้น 0.05% และ 0.025% พบค่า PM2.5 ที่วัดได้เป็นจำนวน 27.3 30.0 และ 95.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ขณะที่น้ำเปล่า (blank) และกลุ่มควบคุม (control) คือ น้ำเปล่าและ Carboxymethylcellulose (CMC) 0.2% ยังพบปริมาณฝุ่นถึง 126.4 และ 157.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด ที่ความเข้มข้น 0.025% นี้มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้ดีที่สุด โดยตั้งแต่ชั่วโมงที่ 2 เป็นต้นไปมีการลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุมประมาณ 3-6 เท่า จากการทดสอบระสิทธิภาพของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด ในรูปแบบการพ่นละอองฝอย ที่ความเข้มข้น 0.025% ณ สวนทวีวนารมย์ สวนบางแคภิรมย์ และสวนธนบุรีรมย์ มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการทดสอบในพื้นที่นั้นๆ ทำให้มีข้อมูลที่แตกต่างกันอยู่มาก โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องของแรงลมรวมทั้ง ความชื้น และอุณหภูมิ ปริมาณฝุ่น PM 2.5 มีแนวโน้มค่อยๆ ลดปริมาณลงเมื่อเริ่มทำการพ่นละอองของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากพืช โดยทั่วไปแล้วปริมาณฝุ่นจากทั้ง 3 สวนสาธารณะเมื่อมีการใช้อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด PM 2.5 จะลดลงมากในหนึ่งชั่วโมงแรก คือ ลดลงเฉลี่ยถึง 21.8 (7.7-27.3) ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่การใช้น้ำประปา มีการลดลงเฉลี่ยเพียง 6.4 (5.0-8.3) ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เท่านั้น ในสภาพที่ลมสงบ (ความเร็วลม 10-20 กม./ชม.) อิมัลชันน้ำมันหอมระเหยสามารถลดฝุ่นจากระดับ 37.0-44.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ได้ถึงระดับ 13.5-16.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 ชั่วโมง แต่หากฝุ่นพิษมีปริมาณสูง(ประมาณ 98.0-101.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) จะลดลงถึงระดับ 23.0-26.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 ชั่วโมง ขณะที่การใช้น้ำประปาสามารถลดฝุ่นได้เพียงเล็กน้อย คือพบระดับฝุ่น 31.0-40.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามในสภาพที่ลมแรงและแปรปรวน (ความเร็วลม 15-35 กม/ชม.) ประสิทธิภาพการลดฝุ่น PM 2.5 ของอิมัลชันน้ำมันหอมระเหยจะลดลงและมีค่าแปรปรวน แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าการใช้น้ำประปา