ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังมีจำนวนมากเป็นอันดับที่สอง ในจำนวนผู้ป่วยโรคผิวหนัง ซึ่งโรคภูมิแพ้ผิวหนังนี้ยังไม่มียารักษา ทำได้แค่บรรเทารักษาตามอาการ ทำให้เกิดเป็นโรคเรื้อรัง มีโอกาสที่เชื้อฉวยโอกาสจะเข้าไปก่อโรคเพิ่มจากแผลของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อชนิดอื่น การศึกษาในครั้งนี้จึงสนใจศึกษาการลดโอกาสในการติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง โดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งสนใจใบพลูคาวและดีปลี เนื่องจากมีข้อมูลสนับสนุนเรื่องการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ โดยการนำใบของพืชทั้ง 2 ชนิด มาสกัดแบบหยาบ แช่ใน ethanol 95% เป็นเวลา 7 วัน กรองด้วยกรวยกรอง buchner นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบ phytochemical เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบ phenolic, flavonoid, tannin, anthocyanin, DPPH และนำไปทดสอบฤทธิ์ในการต้านจุลชีพ ซึ่งในการทดลองประกอบด้วยแบบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ 5 ชนิด ได้แก่ E. coli, Bacillus subtilis, Pseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis โดยผู้ทำการวิจัยคาดว่าจะสามารถนำไปต่อยอดและนำไปพัฒนาในการรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังได้
โรคภูมิเเพ้ผิวหนังเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั้งวัยทารกไปจนถึงวัยชรา โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ระบบภูมิคุ้มกัน และสภาพแวดล้อม ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังจะมีอาการคัน ผิวหนังแห้งอักเสบ อาจมีตุ่มน้ำหรือหนองจากการอักเสบและมีการติดเชื้อร่วมด้วย จากข้อมูลด้านสถิติผู้ป่วยโรคผิวหนังตั้งแต่ปี พ.ศ.2559-2562 แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยโรคผิวหนังมีอัตราเพิ่มขึ้นในทุกๆปีและที่มีจำนวนมากเป็นอันดับสองคือ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (สถาบันโรคผิวหนัง ,2564) ในกรณีที่ จะมีโอกาสที่เชื้อจุลินทรีย์ทั่วไปจะเปลี่ยนเป็นเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนังโดยเฉพาะ การรักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนังทางการแพทย์จะใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์หรือยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitors เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น แต่ตัวยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงต่อผู้ใช้ ในปัจจุบันนักวิจัยให้ความสนใจกับการใช้สารสกัดจากธรรมชาติในการรักษาโรคต่างๆ เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยากลุ่มอื่นรักษา เช่นเดียวกับโรคภูมิแพ้ผิวหนัง มีการวิจัยการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเป็นทางเลือกในการบรรเทาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งมีการใช้สารสกัดจากพืชหลายชนิดในการทดสอบการบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Yi Peng ,2567). พลูคาวเป็นพืชที่สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน มีฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวกและมีฤทธิ์เสริมฤทธิ์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของเบต้าแคโรทีนอีกด้วย (สุทธิจิต ,2562) เช่นเดียวกับดีปลีที่เป็นพืชวงศ์ Piperaceae มีฤทธิ์ที่สามารถต้านเชื้อราและแบคทีเรียที่เป็นตัวแทนของเชื้อก่อโรคได้ (ปาจรีย์ ,2557) ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการนำสารสกัดจากใบพลูคาวและใบดีปลีมาทดสอบการยับยั้งเชื้อฉวยโอกาสที่พบทั่วไปบนร่างกายและสภาพแวดล้อมเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อเพิ่มในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ผัวหนังและช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ผิวหนัง
คณะวิศวกรรมศาสตร์
เนื่องจากระบบเมืองสมัยใหม่ มีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูงมากกว่าในอดีต ทำให้มีการนำระบบการส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วยสายเคเบิลใต้ดินมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายแทนที่การส่งพลังงานไฟฟ้าด้วยสายส่งเหนือหัว อย่างไรก็ตามการส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วยสายเคเบิลใต้ดินยังมีปัญหาในการใช้งานอยู่หลายประการเช่น การลงทุนที่สูงกว่าการส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าเหนือหัวอยู่หลายเท่า การใช้เวลาแก้ไขเป็นระยะเวลานานเมื่อเกิดความล้มเหลวของระบบส่งจ่าย ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาที่จำกัด ความสามารถในการรับภาระเพิ่มเติมเป็นต้น โครงการวิจัยนี้ออกแบบมาเพื่อศึกษาปัญหาของสายเคเบิลใต้ดินระบบ 22 kV XLPE โดยอาศัยเทคนิค การวิเคราะห์กระแสโพลาไรซ์และกระแสดีโพลาไรซ์ซึ่งเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ฉนวนสมัยใหม่
คณะวิทยาศาสตร์
EcoGrow Pellets คือ เม็ดดินปลูกพืชความพรุนสูง ที่ผลิตจาก ตะกอนดินอุตสาหกรรมเซรามิกส์ ผสมกับกระดูกไก่บดเพื่อเสริมแคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญ ให้พืชเติบโตแข็งแรง เหมาะสำหรับการปลูกพืชทุกชนิด โดยเฉพาะพืชที่ต้องการโครงสร้างดินโปร่ง ระบายน้ำและอากาศดี EcoGrow Pellets เป็นนวัตกรรมเม็ดดินเผาที่ออกแบบมาเพื่อให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยโครงสร้าง ที่มีความพรุนสูง ทำให้สามารถระบายน้ำและอากาศได้ดี ลดปัญหาดินแน่นหรือการขังน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของรากเน่าและการเจริญเติบโตที่ชะงักงัน นอกจากนี้ เม็ดดินยังอุดมไปด้วย แคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญจากกระดูกไก่บด ซึ่งช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพืชและเพิ่มความแข็งแรงของระบบราก ทำให้พืชสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ ผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจากตะกอนดินอุตสาหกรรมเซรามิกส์รีไซเคิล 100% ตามแนวทาง Zero Waste และ BCG Economy Model เพื่อลดของเสียและเพิ่มมูลค่าสิ่งเหลือใช้ ให้กลายเป็น วัสดุปลูกที่มีคุณค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับทั้งพืชผัก ไม้ดอก และพืชกระถาง ใช้งานง่าย สะอาด และปลอดภัย ช่วยให้การทำเกษตรเป็นเรื่องยั่งยืนมากขึ้นทั้งในแง่ของผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
คณะเทคโนโลยีการเกษตร
ข้าวเป็นพืชที่อ่อนแอต่อดินเค็ม วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้คือ เพื่อศึกษาผลของความเค็มในระยะออกดอกที่มีต่อลักษณะทางสรีรวิทยา และการให้ผลผลิตของข้าวพื้นเมือง วางแผนการทดลองแบบ 4*10 Factorial in RCBD จำนวน 4 ซ้ำ ปัจจัย A คือ ระดับความเค็ม 4 ระดับได้แก่ control , 6, 12 และ 16 dS/m ปัจจัย B คือพันธุ์ข้าวจำนวน 10 สายพันธุ์ เก็บข้อมูลลักษณะทางสรีรวิทยาแลผลผลิต ผลการศึกษาพบว่า ระดับความเค็มที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลง โดยผลผลิตจะลดลงมากที่สุดเมื่อข้าวได้รับเกลือที่ระดับ 16 dS/m นอกจากนี้พบว่า สายพันธุ์ข้าวมีการให้ผลผลิตที่แตกต่าง ในการศึกษาครั้งนี้พบว่า ข้าวพันธุ์หอมใหญ่มีอัตราการลดลงของผลผลิตต่ำที่สุดเมื่อปลูกในระดับความเค็ที่ 16 dS/m และไม่แตกต่างกับพันธุ์ทนเค็มมาตรฐาน