ในปัจจุบันปัญหาด้านภาวะพัฒนาการบกพร่องด้านการเขียนที่เกิดขึ้นในเด็กนั้น เป็นปัญหาที่ควรให้ความ สําคัญอย่างมากสําหรับเด็กในวัยเรียนรู้ โดยการวินิจฉัยว่าตัวเด็กนั้นมีความผิดปกติทางภาวะพัฒนาการบกพร่องด้านการเขียนหรือไม่นั้น จำต้องอาศัยแบบประเมินทักษะในการเขียน ซึ่งจะถูกนำไปให้ผู้ที่ต้องการวินิจฉัยทำ และถูกประเมินโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของรูปแบบในการวินิจฉัยที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงทำให้มีความต้องการทางด้านทรัพยากรบุคคลเป็นอย่างมาก เราจึงทำการออกแบบวิธีในการให้คะแนนผ่านแบบประเมินทักษะในการเขียน โดยใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาพและอาศัยเกณฑ์การให้คะแนนจากเกณฑ์ดังเดิม โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนที่สามารถหาได้ปัจจุบันอยู่ 3 เกณฑ์ตอนนี้ คือ ตําแหน่ง การเขียนบทความ รูปแบบบทความ และความเร็วในการคัดลอก อีกทั้งเรายังทำการจัดสร้างเว็บแอปพลิเคชันเพื่อให้สามารถให้งานระบบได้ง่ายยิ่งขึ้น
ปัญหาด้านภาวะพัฒนาการบกพร่องด้านการเขียนที่เกิดขึ้นในเด็กนั้น เป็นปัญหาที่ควรให้ความ สำคัญอย่างมากสำหรับเด็กในวัยเรียนรู้ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานอันเป็นหัวใจ หลักของการเรียนรู้สำหรับเด็กในอนาคต เช่น ทักษะการคำนวณพื้นฐาน ทักษะด้านการสื่อสารรวม ถึงทักษะในการเข้าสังคม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการใช้ชีวิตของเด็กในอนาคต ถึงกระนั้นภาวะพัฒนาการ บกพร่องด้านการเขียนก็ได้รับความสนใจในการศึกษาค้นคว้าน้อยกว่าภาวะความบกพร่องในด้านอื่น ๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความซับซ้อนจากหลากหลายปัจจัย ถึงแม้ว่าการที่ภาวะพัฒนา การบกพร่อง ด้านการเขียนมักถูกวินิจฉัยเมื่อเข้าสู่สถานศึกษา แต่ก็ยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการแพทย์ เพื่อมาชี้แนะและแนะนำแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อเฝ้าระวังและรักษาภาวะความบกพร่องนี้ได้อย่างทัน ท่วงที ปัจจุบันภาวะพัฒนาการบกพร่องด้านการเขียนจะถูกวินิจฉัยด้วยระดับของทักษะความสามารถ ในการเขียนของผู้ที่ถูกประเมิน ซึ่งจะถูกประเมินโดยลักษณะความผิดพลาดของการเขียนที่เห็นได้อย่าง ชัดเจน เช่น การสร้างรูปแบบบทความ การจัดเรียงบรรทัดหรือรูปแบบในการสร้างตัวอักษร โดยจะ ถูกประเมินผ่านการสังเกตของมนุษย์ จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะสามารถมั่นใจได้ว่า ผลลัพธ์จากการประเมินดังกล่าวนั้นถูกต้อง จึงทำให้การวินิจฉัยภาวะพัฒนาการบกพร่องในการเขียน นั้นต้องอาศัยบุคลากรเป็นอย่างมาก และยังไม่มีอุปกรณ์ในการช่วยเหลือใด ๆ ที่จะทำให้การวินิจฉัย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทางเราจึงเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีประมวลผลภาพเข้ามาปรับใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาด ใน การเขียนของเด็กโดยอาศัยเทคนิคต่าง ๆ เพื่อทำการหาปัจจัยที่เป็นตัวบ่งบอกถึงระดับทักษะใน การเขียน และนำข้อมูลดังกล่าวที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาพ มาวิเคราะห์เพื่อทำการแบ่ง ระดับทักษะออกมาโดยเบื้องต้น เพื่อให้ผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาหรือใช้สำหรับ ประกอบควบคู่ไปกับการวินิจฉัย
วิทยาลัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุ
การสร้างแบบจำลองผิวหนังบนชิป (Skin-on-a-chip) มีบทบาทสำคัญในการวิจัยด้านการพัฒนายา และเครื่องสำอาง ซึ่งแบบดั้งเดิมมักจะใช้วิธีการสองมิติ (Two-dimensional, 2D) ที่อาศัยการเพาะเลี้ยงเซลล์บนพื้นผิวแบนราบ ทำให้ขาดความซับซ้อนของโครงสร้างผิวหนังและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเซลล์ที่สมจริง นอกจากนี้ วิธีการดั้งเดิมยังมีข้อจำกัดในการเลียนแบบการไหลเวียนของของเหลวและสารอาหาร ซึ่งส่งผลต่อความแม่นยำในการทดสอบทางเภสัชกรรมและการทำนายผลกระทบของยา ซึ่งทำให้มีการพัฒนาแบบจำลองผิวหนังแบบสามมิติ (Three-dimensional, 3D) ด้วยเทคโนโลยีไมโครฟลูอิดิกแบบใหม่ ช่วยเพิ่มความสมจริงของโครงสร้างผิวหนัง โดยการจำลองทั้งชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) รวมถึงการ ไหลเวียนของของเหลวที่คล้ายคลึงกับสภาวะในร่างกายมนุษย์ การออกแบบระบบสามมิติ (3D) ช่วยให้เซลล์มีการจัดเรียงที่สมจริงมากขึ้น และมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเซลล์ที่สมจริง ทำให้สามารถเลียนแบบการทำงานของผิวหนังได้ดีกว่า และเพิ่มความแม่นยำในการประเมินผลของสารต่าง ๆ ต่อการตอบสนองของเซลล์ ทั้งในด้านการดูดซึม การอักเสบ และการสมานแผล ดังนั้น การสร้างแบบจำลองผิวหนัง แบบสามมิติ (3D) ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาของวิธีการดั้งเดิมแต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแบบจำลองที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทดสอบยาและผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คณะวิศวกรรมศาสตร์
ปัจจุบันแบตเตอรี่ลิเทียมถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้การประมาณสถานะสุขภาพ (State of Health: SOH) ของแบตเตอรี่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสามารถช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัย เช่น ความร้อนสูงเกินหรือการระเบิด โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของแบตเตอรี่ ตลอดจนพัฒนาเทคนิคการประมาณสถานะสุขภาพโดยใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) เพื่อเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการประเมิน การทดลองได้ทำการเก็บข้อมูลการประจุและคายประจุของแบตเตอรี่ลิเทียมจำนวน 3 เซลล์ ภายใต้อุณหภูมิที่ควบคุม และใช้กระแสคงที่ในการชาร์จและคายประจุไฟฟ้า พร้อมทั้งบันทึกค่ากระแส แรงดัน และเวลา จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความจุของแบตเตอรี่ในแต่ละรอบการใช้งาน และใช้เป็นข้อมูลฝึกสอนโครงข่ายประสาทเทียม ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยให้สามารถคาดการณ์สถานะสุขภาพของแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลจากโครงงานนี้สามารถนำไปพัฒนาระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System) เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ทั้งยังเป็นแนวทางในการนำเทคนิคปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
คณะวิทยาศาสตร์
โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์โดยใช้เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ร่วมกับแบตเตอรี่กราฟีนควันตัมดอท (Graphene Quantum Dot Battery) ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บพลังงานและยืดอายุการใช้งานของระบบพลังงานทดแทน การเลือกใช้กราฟีนและควันตัมดอทเป็นวัสดุในการพัฒนาแบตเตอรี่เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่นในการนำไฟฟ้า ความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้า การส่งผ่านพลังงานที่มีประสิทธิภาพและความเสถียรสูงขึ้น