
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับม้าให้ตอบสนองความต้องการด้านโภชนาการและสุขภาพของม้า โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวโอ๊ต แป้งสาลี แป้งข้าวโพด และกากน้ำตาลออร์แกนิก ซึ่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับม้า อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงของอาการเสียดท้อง และให้พลังงานที่เหมาะสม ขนมได้รับการออกแบบให้มีรูปร่างที่เหมาะสมกับการกัดเคี้ยวของม้า และเพิ่มกลิ่นผลไม้ไทย เช่น สับปะรดและมะม่วง เพื่อดึงดูดความสนใจและช่วยให้ม้าบริโภคได้ง่ายขึ้น โดยมีกระบวนการผลิตที่เน้นความสะอาดและความปลอดภัยโดยเลือกใช้วัตถุดิบออร์แกนิกและปราศจากสารกันเสียที่เป็นอันตรายต่อม้า บรรจุภัณฑ์ถูกออกแบบให้สามารถรักษาคุณภาพของขนมได้นาน ป้องกันความชื้น และสะดวกต่อการใช้งานของผู้เลี้ยง นอกจากนี้ ขนมยังสามารถใช้เป็นรางวัลระหว่างการฝึกม้า ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างม้ากับผู้เลี้ยง และลดความเครียดของม้าได้ ผลิตภัณฑ์นี้จึงเป็นทั้งขนมเพื่อสุขภาพและเครื่องมือช่วยฝึกที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับม้าที่ต้องการอาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้เลี้ยงม้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพม้า
ปัจจุบันการเลี้ยงม้าในประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่การขาดความรู้ที่ถูกต้องในการดูแล ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะอาการเสียดท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่อาจทำให้ม้าเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ระบบการให้อาหารที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันปัญหาดังกล่าว การให้ขนมสำหรับม้านั้นเปรียบเสมือนกับการให้รางวัลกับม้า ซึ่งช่วยเสริมสุขภาพกายและจิตใจของม้า โดยเฉพาะการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงและม้า อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยฝึกพฤติกรรมม้าให้ตอบสนองต่อคำสั่งได้ดีขึ้น การเลือกขนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยเสริมระบบทางเดินอาหาร ลดความเสี่ยงของอาการเสียดท้อง ท้องอืด และปัญหาทางลำไส้ นอกจากนี้ ขนมที่มีกลิ่นหอมและรสชาติดียังช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ลดความเครียด และทำให้ม้ามีความสุขมากขึ้น จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับม้าแต่งกลิ่นผลไม้ไทย โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร พร้อมทั้งทดสอบและประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้เลี้ยงม้าในการดูแลสุขภาพม้า และเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้ผลิตภัณฑ์ขนมม้าเป็นที่ยอมรับในวงการขี่ม้าไทย

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส ที่มีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาความสามารถของทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษและทักษะการสื่อสารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อประเมินทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษโดยสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส และ 3) เพื่อประเมินทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษโดยสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องละ 60 คน รวมนักเรียนทั้งสิ้น 120 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ชุดสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส แบบประเมินคุณภาพสื่อ แบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง และแบบประเมินทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย (x ̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) การทดสอบค่าที (t-test for Independence Samples) และการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนประเมินระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณแบบทางเดียว (Multivariate Analysis of Variance: One-Way MANOVA) ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของคุณภาพของชุดสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส ในภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับ มากที่สุด (x ̅ = 4.85, S.D. = 0.17) เมื่อพิจารณาแต่ละ ด้านของรายการประเมินพบว่า ในด้านด้านเนื้อหามีคุณภาพอยู่ในดีระดับ มากที่สุด (x ̅ = 4.44, S.D. = 0.29) ในด้านเทคนิคการผลิตสื่อมีคุณภาพอยู่ในดีระดับ มากที่สุด (x ̅ = 4.65, S.D. = 0.29) และการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความสามารถของทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษ และทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษระหว่างผู้เรียนโดยใช้ชุดสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส ระหว่าง 2 กลุ่ม พบว่า กลุ่มการเรียนรู้โดยใช้ชุดสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์สให้ค่าเฉลี่ยความสามารถของทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษสูงกว่ากลุ่มการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ F (1, 89) = 3261.422, p = 0.001, Partial η2 = 0.98 และกลุ่มการเรียนรู้โดยใช้ชุดสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์สให้ค่าเฉลี่ยทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษสูงกว่ากลุ่มการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ F (1, 89) = 4239.365, p = 0.001, Partial η2 = 0.98 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของงานวิจัยที่ตั้งไว้ “ทักษะของทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษและทักษะการสื่อสารของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 โดยสื่อความจริงเสริมร่วมกับเมตาเวิร์ส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

คณะเทคโนโลยีการเกษตร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาความต้องการในการออกแบบบรรจุภัณฑ์กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯ 2) เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อรูปแบบบรรจุภัณฑ์ของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกะปิคลองด่านชุมชน 3 ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 9 คน ผลการศึกษาพบว่า สภาพปัญหาของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯ นั้นขาดบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมแก่การเป็นของฝากและมีความต้องการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีลักษณะเหมาะสมแก่การเป็นของฝากโดยวัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์คือกระดาษ มีรูปแบบบรรจุภัณฑ์เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพร้อมหูจับสำหรับพกพา สามารถพับเก็บขนส่งสะดวก และซ้อนทับเพื่อเรียงเป็นชั้นได้มีความแข็งแรงทนทาน สีบรรจุภัณฑ์ที่ใช้คือสีน้ำตาลอ่อน ส่วนสีฉลากคือสีขาว มีรายละเอียดที่ระบุในฉลากดังนี้ สูตรทำน้ำพริกกะปิ ส่วนประกอบ วันผลิตและวันหมดอายุ ความเป็นมาของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯ QR Code เบอร์โทรศัพท์ เรื่องราวสั้น ๆ ชื่อกลุ่ม สถานที่ผลิต พร้อมทั้งใช้ภาพประกอบเป็นที่ตั้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯ และภาพเคยแดง ผลการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ฯ พบว่าการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้า ทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ และความพึงพอใจต่อรูปแบบบรรจุภัณฑ์ของสมาชิกกลุ่ม ฯ พบว่าบรรจุภัณฑ์รูปแบบที่ 1 มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด ( x ̅ = 4.57, S.D.= 0.22) โดยมีด้านสีได้ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ( x ̅ = 4.74, S.D.= 0.06) รองลงมาคือด้านฉลากมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด ( x ̅ = 4.69, S.D.= 0.10) น้อยที่สุดคือ ด้านคุณสมบัติระดับความพึงพอใจปานกลาง ( x ̅ = 3.83, S.D.=1.58) ตามลำดับ

คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
การออกแบบกราฟฟิกตู้ขายของอัตโนมัติ และพื้นที่โดยรอบขนาด 5*6 เมตร โดยนำแบรนด์สกินแคร์ INGU เป็นสินค้า