กลับไปที่นวัตกรรมทั้งหมด
ไรแดงป๊อปจากเจลาตินเกล็ดปลา
Moina beads from fish scale gelatin
@คณะเทคโนโลยีการเกษตร
#KLLC 2024
#BCG (Bio-Circular-Green Economy)
รายละเอียด
ในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่นิยมนำปลามาประกอบอาหารและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จึงทำให้มีเศษของเหลือทิ้งจากการผลิตมาก ซึ่งเกล็ดปลาเป็นของเหลือทิ้งที่ไม่สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ต่อได้ แต่การศึกษาพบว่า ในเกล็ดปลามีเจลาติน (Gelatin) จึงทำการศึกษาปริมาณเจลาติน และคุณสมบัติของเจลาตินจากเกล็ดปลาช่อนเทียบกับเจลาตินจากเกล็ดปลานิล และศึกษาความ เป็นไปได้ของการเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งทางการประมง ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มากขึ้น โดยมีการวางแผนการทดลองแบบเปรียบเทียบคู่ ( Independent-Samples t-test ) แบ่ง ชุดการทดลองเป็น 2 ชุดการทดลอง (ชนิดเกล็ด) ชุดการทดลองละ 3 ซ้ำ เมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่า ผลผลิตของเจลาตินจากเกล็ดปลาช่อนและเกล็ดปลานิล 100 กรัม มีปริมาณเจลาติน 185.33±11.39 มิลลิลิตร และ 279.66±14.09 มิลลิลิตร ตามลำดับ และได้ปริมาณผงเจลาติน 9.64±0.19 กรัม และ 15.90±0.34 กรัม ตามลำดับ ซึ่งผลผลิตเจลาตินเกล็ดปลาทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) และผลการเปรียบเทียบคุณภาพเจลาติน พบว่า เจลาตินเกล็ดปลาช่อน และเจลาตินเกล็ดปลานิลขนาด 5x5x2 เซนติเมตร ใช้เวลาละลาย 21.63±1.47 นาที และ 25.07±2.51 นาที ตามลำดับ และมีปริมาณโปรตีน 6.10±0.23 เปอร์เซ็นต์ และ 6.26±0.37 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งคุณภาพของเจลาตินทั้ง 2 ชนิดนี้ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (P>0.05) ซึ่งเจลาตินเกล็ดปลาช่อนและเจลาตินเกล็ดปลานิลมีผลผลิตที่แตกต่างกัน แต่ในด้าน คุณภาพเจลาตินของปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ไม่แตกต่างกัน ซึ่งเจลาตินสามารถนำมาผลิตไรแดงป๊อปสำหรับเป็นอาหารสำหรับปลาได้อีกรูปแบบ
วัตถุประสงค์
ในปัจจุบันนี้ประชากรส่วนใหญ่นิยมนำปลามาประกอบอาหารและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในปริมาณมาก เช่น ลูกชิ้นปลา ทอดมันปลา และปลาแดดเดียว เป็นต้น จึงทำให้มีเศษของเหลือทิ้ง จากกระบวนการผลิตจำนวนมาก ได้แก่พวก หัวปลา หนังปลา ไส้ปลา และเกล็ดปลา ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถที่จะนำไปหมักทำเป็นปุ๋ยชีวภาพ เพื่อไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆได้ ส่วนเกล็ดปลามักเป็นของ เหลือทิ้งที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้และมีปริมาณมากอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่เกล็ดปลามักจะมา จากโรงงานผลิตลูกชิ้นปลา ตลาดสด ร้านอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงทำการศึกษาแล้วพบว่าในเกล็ดปลามีเจลาติน (Gelatin) ซึ่งเป็นสารประกอบโปรตีนที่ได้มา จากคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพของกระดูก หนังสัตว์ และเกล็ดปลา โดยการใช้ความร้อนและกรด หรือ ด่าง เพื่อย่อย หรือสลายให้โมเลกุลของคอลลาเจนให้เล็กลงแล้วเปลี่ยนสภาพมาเป็นเจลาติน ซึ่ง เจลาตินสามารถใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ เจลาตินยังมีประโยชน์ ซึ่งช่วยบำรุงสมอง ช่วยเพิ่มคุณภาพในการนอนหลับ ช่วยซ่อมแซมและยัง สามารถทดแทนเจลาตินจากหนังสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ และเป็นที่ยอมรับสำหรับผู้นับถือศาส นา อิสลามหรือผู้ที่เคร่งศาสนา ซึ่งเกล็ดปลาที่เลือกใช้ในการศึกษาปริมาณเจลาติน และคุณสมบัติต่างๆ ของเจลาติน ได้แก่ เกล็ดของปลาช่อน (Channa striata ) และเกล็ดของปลานิล (Oreochromis niloticus) ซึ่งได้มาจากแม่ค้าในตลาดสด ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยที่แยกชนิดเกล็ดอย่างชัดเจน ซึ่ง ปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ สามารถพบได้ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป เช่น แม่น้ำ หนอง คลอง บึง ต่าง ๆ และสามารถ แพร่ขยายพันธุ์ได้ง่าย เจริญเติบโตดี เลี้ยงง่าย มีความทนทาน มีรสชาติดี จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่มี ความสำคัญทางเศรษฐกิจของไทย การส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในรูปของการแปรรูป แต่ปัจจุบันนี้ จำนวนปลาในธรรมชาติ พบว่ามีปริมาณที่ลดลงอย่างมาก เกษตรกรจึงเริ่มมีการเพาะเลี้ยงที่มากขึ้น ดังนั้นการศึกษาการสกัดเจลาตินจากเกล็ดของปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นการศึกษาและ เปรียบเทียบปริมาณเจลาตินและคุณสมบัติของเจลาตินจากเกล็ดปลาช่อนและเกล็ดของปลานิล เพื่อที่จะให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆทางการประมงและทางด้านอื่นๆ และสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับเกล็ดปลาที่เหลือทิ้งในปริมาณมากด้วย และยังช่วยลดของเสีย (Waste) ที่ทำ ให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ให้กับชาวประมงและเกษตรกร
ผู้จัดทำ
ชนกกานต์ หงษ์เวียงจันทร์
CHANOKKARN HONGWINGJAN
#นักศึกษา
สมาชิก
อัจฉรี เรืองเดช
Uscharee Ruangdej
#อาจารย์
อาจารย์ที่ปรึกษา
โหวตนวัตกรรมนี้
กำลังดาวน์โหลด
Powered By KMITL Innovation Project